ย้อนเวลากลับไป เมื่อ ช่วงเดียวกันนี้ของปีที่แล้ว
ผมยังจำได้ดี เมื่อผมมีโอกาสได้เห็น รูปโฉมคันจริง ของ Volvo S60 ใหม่
บนเว็บไซต์ www.headlightmag.com ผ่านทาง ภาพถ่าย 2 ภาพแรก ที่ Volvo
ปล่อยออกมา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2009

วินาทีแรกที่ผมได้เห็นรถคันสีน้ำตาลทองนั้น..ผมบอกกับตัวเองว่า…
แม้เจ้าโว้ยยยยย มันสวยไม่ต่างจากรถคันต้นแบบเลย…..

เมื่อไหร่จะได้ลองขับว๊าาาาาาาาาาา

HOMY DEMIO หนุ่มน้อยร่างสูงผิวขาวโพลนยิ่งกว่าหิมะในขั้วโลกเหนือของเรา
ทำนายเอาไว้ค่อนข้างถูกเผงว่า คงต้องใช้เวลานานถึง 1 ปี กว่าที่รถรุ่นนี้ จะพร้อม
ส่งลงเรือมาเปิดตัวที่ถึงเมืองไทย…

เพราะในที่สุด Volvo Cars Thailand ก็ใช้ฤกษ์งามยามดี วันที่ 14 ตุลาคม 2010 ที่ผ่านมา
จับมือกับทาง Greyhound อันเป็นแบรนด์เสื้อผ้าชื่อดังระดับตำนานของวงการแฟชันไทย
กับ นิตยสาร ELLE Thailand ร่วมกัน เปิดตัว S60 ใหม่ กลางงาน ELLE Fashion Week
2010 บนรันเวย์สีดำ ขนาดกำลังเหมาะ ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในอาคารชั่วคราวสีขาว บนพื้นที่
ลานโล่งของ Central World

ถึงจะเป็นเวลาประมาณ ไม่ครบ 1 ปีนัก แต่ ถ้านับกันจริงๆ ก็ปาเข้าไป 11 เดือน หลังจาก
ที่สาธารณชนทั่วโลก ได้เห็น S60 ใหม่ ผ่านทางภาพถ่าย 2 ใบแรก และ อีกราวๆ 7 เดือน
หลังการเปิดตัวออกจำหน่ายในตลาดต่างๆ ทั่วโลก

เพียงแต่…เรื่องที่ผิดคาด มันมีอยู่นิดหน่อย….รวมกันแล้วก็ 2 ข้อ

ข้อแรก ผมไม่คิดว่า ผมจะได้ลองขับรถคันนี้ 1 ใน 5 ของรถคันที่อยู่ใน
รายการตั้งใจอยากจะลองขับ ได้เร็วกว่าที่คิด…

ส่วนข้อที่ 2 นั่นก็คือ………………………

“เรามีเรื่องจะแจ้งให้ท่านทราบ ท่านจะได้ขับ S60 แต่ เป็นคันสีดำ ภายในสีเบจ ไม่ใช่คันสีโปรโมท
ดังที่ท่านต้องการ เสียใจด้วย อิอิ”

พี่ต่าย PR ค่าย Volvo ผู้ซึ่งผมแอบสงสัยมาตลอดเลยว่า สมัยก่อน เคยไปถ่ายหนังโฆษณาเครื่องสำอางค์
อะไรมาบ้างหรือเปล่า ส่งเสียงมาตามสายโทรศัพท์ ด้วยโทนเสียง ขำขำ ตามประสา แต่หารู้ไม่ว่า
ประโยคนี้ เล่นเอาข้าพเจ้า แอบเซ็งไปเล็กน้อย ถึงปานกลาง…

“ฮ่วย!…สีดำอีกแล้วเหรอ….เอาแล้วไง จะถายรูปที่ไหนยังไงละเนี่ยตู”

นี่คิดเอาไว้เสร็จสรรพ เลยว่า จะหาโลเกชันแถวๆ โกดังเก่า ริมเจ้าพระยา เพื่อให้ขับความเด่นของสีรถออกมา
เพราะรถคันนี้ มันมีบุคลิกซุกซน ปนดุ กว่า Volvo ทั่วไปนิดหน่อยด้วยซ้ำ สุดท้าย พับแผนเก็บเข้าลิ้นชัก
ตามเดิม เหตุการณ์คล้ายกับตอนทำรีวิว Hyundai Tucson ไม่ผิดเพี้ยน! (-_-‘)

แม้จะรู้ความจริงอย่างดิบดีว่า ด้วยเหตุในการจัดเรียงตารางการใช้รถในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ต่างๆ
เพราะรถที่เข้ามาช่วงแรก มีไม่กี่คัน ทำให้ท้ายที่สุด เราจึงต้องรับ รถคันสีดำ มาทำรีวิวกันในครั้งนี้

แต่ขอบ่นหน่อยเถอะ สาธุชนคน Volvo ทั้งหลาย (ซึ่งไม่ใช่ พี่ต่าย กับพี่ตุ้ม ฉันทนา ผู้บริหารใหญ่สุด
เพราะ ทั้งคู่ เจอผมบ่นให้ฟัง เป็นเวอร์ชันสดๆ ไปหมดเรียบร้อยแล้ว) และไหนๆ ก็ไหนๆ ฝากรวมถึง
ญาติสนิท มิตรสหาย จากทุกค่ายบริษัทรถยนต์ ทั้งหลายกันมา ณ โอกาสนี้เลยทีเดียว พร้อมกันนี่แหละ ว่า

ต่อให้รู้อยู่เต็มอกว่า บรรดาลูกค้า ผู้บริโภคชาวไทยหนะ ไม่ว่าจะสรรหาสีตัวถัง สวยเริ่ดหรู เปรี้ยวจี๊ดสะเด็ดทรวง
มาให้เลือกกันในแค็ตตาล็อกยังไงก็ตาม พี่ไทยเราก็ยังคงจะเลือกซื้อรถกันเพียงแค่ 4 สี หลัก เท่านั้น คือ
ขาว เทา ดำ เงิน…อันเป็นสี Grey Scale ที่แสนจะน่าเบื่ออออออออออออออออ มากขนาดไหนก็ตาม

แต่เวลา จัดรถทดลองขับ สำหรับ โปรโมท ได้โปรดเถิด ยอดดวงใจทั้งหลาย ขอท่านโปรดเมตตา
หารถ ที่มีสีสัน ฉูดฉาด มาให้ได้ถ่ายรูปทำรีวิวกันบ้างเถิด เพราะเมื่อ ภาพไปปรากฎ บนบทความ
หรือในรีวิว มันจะดูสวยงาม เป็นอันมาก และ มันจะไม่ทำให้รถของคุณๆ ไม่โดนกลืนหายไปกับ
รถค่ายอื่นๆ ในบทความเดียวกัน หรือบทความอื่นๆ

โดยเฉพาะ ค่ายยุโรปทั้งหลาย ทั้ง Mercedes-Benz BMW และ Volvo ขอทีเถิด เจอกันทีไร มีแต่
สีดำ ไม่ก็เทา เงิน ขาว กันทุกที รู้ว่า มันขายได้ไง และเวลาซ่อมสี ก็จะสะดวกกว่า แต่…อยากบอกว่า
ข้าพเจ้า เริ่มหมดมุข กับการถ่ายรูปรถ ซึ่งมีสีวถัง เพียงแค่ 4 สีนี้ เข้าไปเรื่อยๆทุกทีแล้ว แถมโลเกชัน
ที่จะเหมาะกับรถทั้ง 4 สีที่ว่า อันที่จริง ก็ใช้หมดสต็อกกันไปเยอะมากแล้ว ทุกวันนี้ เริ่มต้องใช้วิธี
ใช้โลเกชันเดิมๆ แต่เปลี่ยนมุมถ่ายเอา ซึ่งชวนให้ข้าพเจ้า เซ็งจิตกันเป็นอันมากโข!! รีวิวนี้ก็เช่นกัน
โลเกชัน ก็ต้องใช้ซ้ำกับ Mercedes-Benz E-Class Coupe เพียงแต่ เปลี่ยนตำแหน่งมุมถ่ายเอาแทน

แต่เชื่อเถอะ ผมเองก็ได้แต่บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ละครับ เพราะไม่ว่า แต่ละค่าย จะจัดรถสีอะไรมา ข้าพเจ้าก็คงต้อง
ทำรีวิวกันต่อไป ทั้งสีขาว เทา ดำ เงิน นั่นแหละ…(ฮา)

แอบคิดเหมือนกัน คนไทยนี่แปลก ดูทีวี ใช้มือถือ ต้อง จอสี แต่ซื้อรถแต่ละที กลับชอบสี Grey Scale ตูละกลุ้ม!

 

ต่อให้บ่นเรื่องสีรถขนาดไหน แต่ยังไงๆ การได้ขับ 1 ในรถรุ่นที่หมายตาอยากลองเอาไว้ ของปีนี้
ก็ช่างเป็นเรื่องดี ที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้เร็วนัก

อย่าว่าแต่ผมเลย ขนาดตาแพน Commander CHENG ของเราเองก็เถอะ พอรู้ว่า S60 จะมาอยู่ในมือ
ของพวกเรา เจ้าตัวถึงกับลั่นล้าพุงกระเพื่อม กันเลยทีเดียว ด้วยเหตุที่ อยากรู้จัด ว่า รถรุ่นนี้ นอกจาก
จะมีเส้นสายที่สวยงามสะเด่าทรวง มากถึงขนาดนี้ พละกำลัง และสมรรถนะของหมอนี่ จะฝากความ
ประทับใจได้ไม่แพ้เส้นสายภายนอก ได้หรือเปล่า ยิ่งเห็นตัวเลขแรงม้า แรงบิด ในแค็ตตาล็อกแล้ว
ยิ่งอยากรู้ ตะหงิดๆกันเลยทีเดียว

ขนาด เจ้ากล้วย BnN แห่ง The Coup Channel ของเรา ยังต่อสายตรงจากสิงค์โปร์มาถามเลยว่า
พอจะประวิงเวลา ถ่ายทำคลิปวีดีโอ ให้ลากยาวไปถึงวันที่กล้วย กลับถึงเมืองไทย ได้หรือไม่
เพราะเจ้าตัว อยากลองรถคันนี้มาก

เชื่อแน่ว่า คงไม่ใช่แค่ผม ตาแพน และกล้วยน้อย ที่อยากรู้
คุณผู้อ่านก็น่าจะอยากรู้เช่นกัน ว่ารถนำเข้า ราคาเท่ารถประกอบในประเทศ คันนี้
มีอะไรดีๆ มากพอให้จ่ายค่าตัวเพื่อแลกมาครอบครองกันหรือไม่

แต่ก่อนอื่น………ก่อนที่จะเลื่อนเมาส์ลงไปถึงผลการทดลองขับ….
ก็คงต้อง ขออารัมภบทด้วยการ ย้อนอดีต กันอีกสักนิดนึงนะครับ….

ไม่ไกลหรอกน่า แค่ ปี 1991 เอง นะนะนะนะนะ  

 

อันที่จริง Volvo ทำตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลาง มาโดยตลอด ตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งบริษัท รถยนต์แต่ละรุ่น
ถูกปรับปรุง และพัฒนาไปตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป เพียงแต่ช่วงเวลาแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น เริ่มต้น
เมื่อช่วงปี 1983 ที่ Volvo เปิดตัวรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ที่สุดของตน ตระกูล 700 Series ทั้ง 760 และ 740
เพื่อทำตลาดแข่งกับ Mercedes-Benz E-Class W124 และ BMW 5-Series รุ่น E28 ในขณะนั้น ทำให้
รถรุ่น 200 Series อย่าง 240 ต้องเปลี่ยนบทบาท มาเน้นกลุ่มลูกค้าครอบครัว ที่อยากได้ความคุ้มค่า
จากรถยนต์รูปทรงเหลี่ยมๆ เก่าๆ ซึ่งพัฒนาต่อเนื่องมาจากตระกูล 144 / 164 ในยุคทศวรรษ 1970 แทน

เดือนมิถุนายน 1991 Volvo เปิดศักราชใหม่ ให้กับรถยนต์นั่งขนาดกลาง ด้วยการเปิดตัว 850 รถยนต์นั่ง
Sedan ขับเคลื่อนล้อหน้า แบบแรกในประวัติศาสตร์ที่ Volvo สร้างขึ้นเอง หลังจากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์
1993 850 StationWagon ก็คลานตามออกมา มีเครื่องยนต์ให้เลือก มากมายตั้งแต่ บล็อก 5 สูบเรียง วางขวาง
DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี ถึง 2,435 ซีซี รวมทั้ง แบบ Diesel 5 สูบเรียง SOHC 2,461 ซีซี Turbo อีกทั้งยัง
เป็นรถยนต์รุ่นแรกในโลก ที่ติดตั้งระบบถุงลมนิรภัยด้านข้าง SIPS ในปี 1994 แถมยังเคยคว้าแชมป์ ใน
การแข่งขัน BTCC British Touring Car Championship มาแล้วอีกด้วย ตลอดอายุตลาดตั้งแต่ปี 1991 – 1996
Volvo ขาย 850 Sedan ได้ทั่วโลกมากถึง 390,835 คัน ขณะที่รุ่น StationWagon มีอายุตลาด 4 ปี ทำยอดขาย
สะสมทั่วโลก ได้ 326,068 คัน

ปลายปี 1996 Volvo ปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ ให้กับ ตระกูล 850 และเปลี่ยนชื่อใหม่ ให้
สอดคล้องกับการเรียกรหัสรุ่นรถแบบใหม่ ที่เริ่มใช้มาใน S40 เมื่อปี 1995 และชื่อใหม่ของ 850
ก็คือ S70 กับ V70 ซึ่งมีการปรับเส้นสายรอบคัน ให้ละมุนกว่าเดิม และดูภูมิฐานขึ้นไปพร้อมกัน
ทำตลาดจนถึงปี 2000 โดยรุ่น S70 ทำยอดขายสะสมทั่วโลกได้ 243,078 คัน ส่วน V70 นั้น เริ่มผลิตเมื่อ
สัปดาห์ที่ 50 ของปี 1996 จนถึง สัปดาห์ที่ 19 ของปี 2000 ทำยอดขายสะสมทั่วโลกได้ 319,832 คัน

แม้จะทำผลงานน่าพอใจ แต่สำหรับ Volvo แล้ว หากยังคงไม่สามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ไปได้มากกว่านี้
อนาคตของ Volvo ก็จะยืนอยู่อย่างลำบาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อ Volvo AB ขายกิจการในส่วนของ
Volvo Cars ทั้งหมด ให้กับ Ford Motor Co. ในปี 1997 แล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่า Volvo จะต้องทำยอดขาย
และสร้างกำไรมากกว่าเดิมอีก จุดอ่อนประการหนึ่งของ Volvo อยู่ที่การออกแบบรูปลักษณ์ของรถซึ่งแม้ว่า
ดูมั่นคง แข็งแรง ปลอดภัย หากแต่ยังอยู่บนพื้นฐานทรงกล่องแข็งๆ ทื่อๆ ไม่ถูกชะตากับผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ
มากนัก ดังนั้น Volvo จึงตัดสินใจพัฒนา Sedan รุ่นใหม่ ตัวตายตัวแทนของ S70 ขึ้น โดยให้ Peter Horbury
นักออกแบบที่ร่วมงานด้วยกันตั้งแต่ปี 1992 เป็นหัวหน้าทีมงานออกแบบรถยนต์รุ่นใหม่นี้ บนโครงสร้าง
พื้นตัวถัง P2X ร่วมกับ S80 V70 XC70 และ XC90

ในที่สุด รถยนต์รุ่นใหม่ที่ว่า ก็ออกสู่ตลาดในวันที่ 8 สิงหาคม 2000 ด้วยชื่อใหม่ S60 ถือเป็นการปฏิวัติแนวทาง
การออกแบบรถยนต์ของ Volvo อย่างรุนแรง และท้าทายต่อผู้คนทั่วโลก แม้จะเป็นรถรุ่นที่ 2 ซึ่งออกแบบขึ้น
ตามแนวทางใหม่นี้ ต่อจาก S80 ซึ่งคลอดออกมาตั้งแต่ 31 พฤษภาคม 1998 แต่ ครั้งนี้ ถือว่า เส้นสายของ S60
ฉีกออกไปจากรถรุ่นก่อนๆในตระกูลทั้งหมด จน Volvo เอง ถึงกับ กำหนดสโลแกนในการสื่อสารทั่วโลกเอาไว้
ตรงกันว่า “Revolvolution.” เพราะนอกจากจะมีรูปทรงใหม่หมดจดแล้ว ยังมีการนำกล้องเรดาห์ พร้อมสัญญาณ
เตือนรถที่แล่นมาด้านข้าง BLIS ติดตั้งเป็นครั้งแรกในโลกให้กับ S60 รุ่นนี้อีกด้วย (ไม่มีในเมืองไทย ณ ตอนนั้น)

เดือนกรกฎาคม 2002 Volvo ปล่อยภาพ Volvo S60R เวอร์ชันแรงสุดในตระกูล ด้วยเครื่องยนต์ B5254T4
5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2,521 ซีซี พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVVT และ Turbocharged 300 แรงม้า (BHP)
ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด รุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ 400 นิวตันเมตร ที่ 1,950 – 5,250 รอบ/นาที
เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ 330 นิวตันเมตร ที่ 1,800 – 6,000 รอบ/นาที ขับเคื่อน 4 ล้อด้วยเพลาขับ HALDEX
เผยโฉมครั้งแรกในงาน Paris Auto Salon 2002 และกว่ารถจะเริ่มจำหน่ายจริงได้ ก็ต้องรอกันจนถึง เดือน
มิถุนายน 2003 อ้อ! เกือบลืม S60R เป็น Volvo รุ่นแรกที่ใช้ช่วงล่าง ปรับได้ 3 ระดับ แบบ Four-C อีกด้วย

การปรับโฉม Minorchange ครั้งใหญ่ มีขึ้นเมื่อ 24 พฤษภาคม 2004 เน้นการปรับปรุงกระจังหน้า และชุดเปลือก
กันชนหน้า ให้กว้าง และมีโครเมียมประดับมากขึ้น ตกแต่งคิ้วกันกระแทกรอบคัน ให้เป็นสีเดียวกับตัวถัง
เปลี่ยนลานล้ออัลลอย และปรับอุปกรณ์ภายในอีกเล็กน้อย ตามแต่ละตลาด และหลังจากนั้น ก็มีการอัพเดท
อุปกรณ์เป็นระยะๆ เรื่อยๆ

S60 รุ่นแรก อยู่ในตลาดมานานถึง 9 ปี และเพิ่งจะยุติการผลิตจากโรงงาน Ghent ในเบลเยียม ไปเมื่อวันที่
31 มีนาคม 2009 (หลังการเปิดตัว Headlightmag.com ไปแค่ 1 เดือนกับอีก 5 วัน) ตลอดอายุตลาด S60 รุ่นแรก
คว้ารางวัลต่างๆมามากมายถึง 23 รางวัล และทำยอดผลิตไปได้ทั้งหมด 578,292 คัน ถือเป็น Volvo รุ่นที่
อยู่ในสายการผลิตของโรงงาน Ghent นานที่สุด และรถคันสุดท้าย เป็นรถสีดำ Sapphire Black ถูกส่ง
ให้กับลูกค้าชาวไต้หวัน

S60 ถูกเปิดตัวในเมืองไทย เมื่อ 4 กรกฎาคม 2001 ตามหลังตลาดโลกราวๆ 11 เดือน เวอร์ชันไทย
ในช่วงแรก มีให้เลือก ทั้งรุ่น 2.0 T  วางเครื่องยนต์ 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2.0 ลิตร Light Pressure Turbo
180 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ที่ 2,250 – 5,300 รอบ/นาที ขับล้อหน้าด้วยเกียร์อัตโนมัติ
5 จังหวะ และรุ่น 2.3 T เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่เพิ่มความจุเป็น 2.3 ลิตร Light Pressure Turbo
200 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 285 นิวตันเมตร ที่ 1,980-5,000 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดพร้อม
โหมดบวกลบ GearTronic

นับตั้งแต่เปิดตัวในเมืองไทยเมื่อปี 2001 เป็นต้นมา ยอดขาย ของ S60 ถือว่า พอไปได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับ
หวือหวานัก ปี 2001 ขายได้ 223 คัน ปี 2002 ขายได้สูงสุด 463 คัน จากนั้น ก็ค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ
ตามปกติของวงจรอายุตลาดรถยนต์ (Product Life cycle) ปี 2003 ขายได้ 338 คัน ถัดมา ปี 2004 ขายได้
214 คัน ปี 2005 ขายได้ 216 คัน ปี 2006 ตัวเลขหล่นลงมาเหลือ 79 คัน ปี 2007 ขายได้ 62 คัน ปี 2008
ขายได้เพียง 45 คัน และ ปี 2009 อันเป็นปีสุดท้ายที่รถอยู่ในตลาด ขายได้เพียง 32 คันเท่านั้น แม้ว่า
จะมีการกระตุ้นตลาด ด้วยการห่นราคาลงมาอย่างบ้าระห่ำ เหลือ 1.9 ล้านบาทท แล้วก็ตาม สรุปแล้ว
Volvo Cars Thailand ทำยอดขาย S60 รุ่นแรก จนมีปริมาณรถหมุนเวียนอยู่ในประเทศ รวมทั้งหมด
1,449 คัน…

ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบตัวเลข ยอดขายของรถยนต์ในกลุ่มตลาดเดียวกัน คือกลุ่ม C-Premium Segment
(หรือ Premium Compact เช่น Mercedes-Benz C-Class และ BMW 3-Series) แล้ว จะเห็นว่า ตลาด
กลุ่มนี้ก็มีขนาดไม่ได้ใหญ่โตมากมายนัก ในปี 2009 Mercedes-Benz C-Class ทำยอดขายรวม 1,563 คัน
BMW 3-Series ทำยอดขายรวมได้ 878 คัน และทั้งหมด เป็นรถประกอบในประเทศไทย ส่วนรถนำเข้า
ซึ่งมีอยู่เพียง 2 รุ่นนั้น Lexus IS250 มียอดขายรวมทั้งปี 2009 เพียง 98 คัน ส่วน Audi A4 ใหม่ล่าสุด
ขายได้ทั้งปี แค่ 36 คัน ถ้านับยอดขายจากผู้ผลิตรายอื่นๆ อีก 17 คัน และ นับยอดขายของ Volvo รวม
78 คัน เข้าไป เท่ากับว่า ตลาดกลุ่ม Premium Compact นี้ ตลอดปี 2009 มียอดขายรวม 2,670 คัน
จะเห็นได้ว่า ยังมีช่องทางในการเติบโตอยู่ ขอเพียงแค่ ตัวรถ มีอุปกรณ์ ที่โดนใจลูกค้า ในราคาที่
เหมาะสม และมีบริการหลังการขาย ที่ดี ไม่โดนลูกค้าด่าเยอะนัก

จะว่าไปแล้ว S60 รุ่นเดิม ก็ทำตัวเลขยอดขาย ได้ไม่เลวเท่าใดนัก เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพการณ์ที่เป็นอยู่
ณ ขณะนั้น แต่ แม้ว่า Volvo จะพยายาม ใส่ความเป็น Coupe ลงไปใน S60 มากขนาดไหน หรือแม้กระทั่ง
ออก เวอร์ชันแรงสุดขั้ว S60R แต่ยอดขายในภาพรวม ก็ยังไม่ถึงขั้น ที่จะกระชากใจลูกค้าได้อยู่หมัด เมื่อ
เทียบกับ Mercedes-Benz C-Class , BMW 3-Series และ Audi A4 อันเป็นคู่แข่งหลัก

นอกเหนือจากบุคลิกของรถ ที่แม้ว่า จะมีบุคลิก สปอร์ต ที่สุด ในบรรดา Volvo ทุกรุ่น ช่วงปี 2001 – 2006
แต่ เมื่อขับขี่จริง ก็ยังคงบุคลิก แบบ รถผู้ใหญ่ เอาไว้อย่างชัดเจน สิ่งที่ Volvo เริ่มคิดได้ก็คือ ทำอย่างไร
ให้ S60 ใหม่ ขับขี่ได้ปราดเปรียวยิ่งขึ้นกว่าเดิม และเมื่อปรับปรุงตัวรถกันแล้ว งานออกแบบภายนอก
ก็ควรจะต้องสื่อให้เห็นถึงทิศทางที่บุคลิกของรถรุ่นใหม่ จะเป็นไป ให้ลูกค้าได้เห็นชัดกันตั้งแต่แรกพบ
นั่นไม่ใช่งานง่ายเลย สำหรับ Steve Mattin หัวหน้าทีมออกแบบ หรือ Design Director ที่ Volvo เพิ่ง
จ้างเข้ามาในช่วงจังหวะนี้พอดี จะต้องช่วยกันขัดเกลา ให้ รถรุ่นนี้ ออกมาโดนใจผู้บริโภคทั่วโลกมากกว่า
ที่รถรุ่นเดิมเคยทำได้

24 พฤศจิกายน 2008 Volvo ปล่อยภาพ Sneak Preview ของ S6 Conept เวอร์ชันต้นแบบ
ในเงามืด ออกมาเป็นภาพแรก โดยไม่นับกับภาพของห้องโดยสารภายใน ซึ่งปล่อยออกมาก่อนหน้านี้
ไม่กี่สัปดาห์ และภาพนี้เองได้สร้างความตื่นตาตื่นใจกับผู้คนในวงการรถยนต์ทั่วโลก ไปจนถึง
ผู้บริโภค อีกครั้งหนึ่ง เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ S60 รุ่นแรก เปิดตัวเมื่อหลายปีก่อน

 

16 ธันวาคม 2008 ก่อนวันคริสต์มาสในปีนั้น เพียงไม่กี่วัน รูปโฉมของเวอร์ชันต้นแบบในชื่อ S60 Concept
พร้อมคลิปวีดีโอ เปิดตัว ออกจากเงามืด ถูกส่งกระจายว่อนทั่วโลกอินเตอร์เน็ต พร้อมรายละเอียดของตัวรถ
ซึ่งอัดแน่นด้วยเทคโนโลยี ที่เมื่อย้อนกลับไปดู ก็จะพบว่า แทบไม่แตกต่างจากเวอร์ชันจำหน่ายจริง ซึ่ง
ออกขายอยู่ในตอนนี้เท่าใดเลย

ไม่ว่าจะเป็นระบบ Pedestrian Detection ระบบตรวจจับคนเดินถนน อัตโนมัติ และสั่งเบรกให้รถหยุดได้เอง
ในทันที เป็นรายแรกของโลก หรือแม้แต่เครื่องยนต์ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1.6 ลิตร GTDi ซึ่ง Volvo เคลมว่า
ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ต่ำมาก เพียง 119 กรัม/ ระยะทางแล่น 1 กิโลเมตร และให้อัตราสิ้นเปลือง
เชื้อเพลิงต่ำมาก เพียง 5 ลิตร / 100 กิโลเมตร เท่านั้น ฯลฯ อีกมากมาย

หลังจากนั้นไม่นานนัก 11 มกราคม 2009 Volvo เปิดผ้าคลุม S60 Concept ในงาน Detroit Auto Show
สหรัฐอเมริกา อย่างเป็นทางการ พร้อมประกาศอย่างเสียงดังฟังชัดว่า รูปโฉมของ S60 รุ่นต่อไป จะถอดร่าง
มาจากรถต้นแบบคันที่เห็นอยู่นี้เลย นั่นเอง!!! และจะมีหน้าตาประมาณนี้ แถมจะยิ่งเพิ่มความ โฉบเฉี่ยว
สวยงาม อย่างลงตัว และมีเส้นสาย ซึ่งดูได้นาน ไม่หายไปกับกาลเวลา ได้มากขึ้นยิ่งกว่าเดิมที่เคยเป็นมา

เวลาล่วงเลยมาจนถึง 26 ตุลาคม 2009 Volvo เริ่มต้นสร้างกระแส S60 ใหม่ ด้วยการ เชิญศิลปินชาวตุรกี
ที่ชื่อ Esref Armagan ผู้ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในฐานะ ศิลปินซึ่ง ใช้การจับสัมผัสวัตถุ มาเป็น แรงบันดาลใจ
ในการเป็นจิตรกรของเขา มาลูบคลำ Volvo S60 ใหม่ แล้ววาดออกมาเป็นภาพสีน้ำ…และเหตุที่ต้องลูบคลำ
ก็เพราะว่า ศิลปินผู้นี้ ตาบอดทั้ง 2 ข้าง!! ถือเป็นแคมเปญ Teaser Ad. ที่กระตุ้นความรู้สึกผู้คนได้ชะงัดไม่เบา
และยิ่ง Volvo พยายามทำตลาดผ่านช่องทาง Cyberspace ผ่านทาง Facebook และ youtube ของตน
(www.facebook.com/volvo และ www.youtube.com/VolvoCarsNews) ด้วยแล้ว ทำให้แคมเปญการเปิดตัว
ครั้งนี้ ยิ่งถูกกล่าวขึ้นไปทั่วโลกมากกว่าที่เคยเป็น

หลังจากปล่อยให้ แคมเปญดังกล่าว สร้างกระแสไปทั่วโลก ราวๆ 16 วัน Volvo ก็เผยภาพถ่ายคันจริงของ
S60 ใหม่ เป็นครั้งแรกในโลก ผ่านทางเว็บไซต์สำหรับสื่อมวลชน และบนชุมชนออนไลน์ของตน ดังกล่าว
ข้างต้น จากนั้น Volvo นำเอาภาพที่ Armagan วาด มาประมูลลงบน เว็บไซต์ ebay ตั้งแต่ 7 ธันวาคม –
17 ธันวาคม 2009 เพื่อจะนำรายได้จากการประมูลภาพ “ทั้งหมด” สมทบทุน มูลนิธิเพื่อผู้พิการทางสายตา
ในแคนาดาซึ่งมีสมาชิกในกว่า 177 ประเทศทั่วโลก ที่ชื่อ World Blind Union และผู้ประมูลได้ จาก 52 ครั้ง
นั่นคือเจ้าของดีลเลอร์ Volvo De Quebec ในแคนาดา ซึ่ง ตัดสินใจจ่าย 3,050 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อประมูล
ภาพวาดชิ้นนี้ และถือเป็นการประมูลงานศิลปะเพื่อการกุศล ที่แพงที่สุดเท่าที่เคยมีใน eBay

จากนั้น 9 กุมภาพันธ์ 2010 คือวันที่ Volvo เผยแพร่ภาพถ่ายเพิ่มเติม และข้อมูลรายละเอียดของตัวรถ
จนครบถ้วน ไม่เว้นแม้แต่ตารางข้อมูลจำเพาะของรถทุกรุ่นย่อย และเมื่อถึงวันที่ 3 มีนาคม 2010
ผู้คนทั่วโลก ก็ได้เห็นรูปโฉมคันจริง ของ Volvo S60 ใหม่ บนแท่นหมุนในงาน Geneva Motor Show
อย่างเป็นทางการ

Volvo ตั้งใจจะขาย S60 ใหม่ให้ได้มากถึง 90,000 คัน ต่อ ปี ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่สูงมากๆ ในจำนวนนี้
1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมดที่พวกเขาคาดหวังจะมาจากประเทศในแถบสหรัฐอเมริกา และทวีปต่างๆทั่วโลก
ขณะที่ในยุโรป เอง ก็น่าจะได้ยอดขายอีก 1 ใน 3 ที่เหลือ มารองรับกำลังการผลิตจากโรงงาน Ghent ใน
เบลเยียม อันเป็นฐานการผลิตขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ Volvo ในโลก รองจาก Gotenburg อันเป็น
สำนักงานใหญ่ ใน สวีเดน

S60 ใหม่ มีขนาดตัวถังยาว 4,628 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,484 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ
2,776 มิลลิเมตร เมื่อเปรียบเทียบกับรถรุ่นเก่า ซึ่งมีความยาว 4,603 มิลลิเมตร กว้าง 1,813 มิลลิเมตร
สูง 1,428 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,715 มิลลิเมตร แล้ว จะพบว่า S60 ใหม่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ใน
ทุกสัดส่วน ยกเว้นความยาวทั้งคัน ที่สั้นลง 25 มิลลิเมตร นอกนั้น กว้างขึ้น 52 มิลลิเมตร สูงขึ้น
55 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อยาวขึ้น 61 มิลลิเมตร

เรื่องที่เรามักต้องทำใจกันเสมอ ก็คือ เมื่อใดที่ผู้ผลิตรถยนต์บอกว่า รถยนต์เวอร์ชันขายจริง จะถอดแบบมาจาก
รถต้นแบบคันที่เราเห็นอยู่บนเวที พอถึงเวลาที่ รถรุ่นนั้น เปิดตัวทำตลาดจริง รูปทรงภายนอก ก็มักจะถูกลดทอน
ลงจากเวอร์ชันต้นแบบไปเสียเยอะมาก จนกระทั่งจุดเด่นด้านงานออกแบบหลายด้าน ต้องหายไป

เพราะแม้แต่ XC60 Concept ซึ่งแม้ว่าจะถอดร่างเวอร์ชันขายจริง ออกมาใกล้เคียงกับเวอร์ชันต้นแบบ
มากขนาดไหน แต่สุดท้าย รายละเอยดปลีกย่อยในหลายจุด ยังไม่อาจนำมาขึ้นสายการผลิตจริงได้

แต่ S60 ใหม่นั้น แม้จะต้องผ่านกระบวนการลดทอนเพื่อให้เหมาะสมกับการผลิตจริงเช่นเดียวกับ
XC60 แต่ ภาพรวมของเส้นสาย ก็ยังคงดูสวยงามด้วยตัวของมันเอง ไม่แพ้เวอร์ชันต้นแบบเลย
แม้แต่น้อย

Steve Mattin , Design Director ของ Volvo ซึ่งเคยมาบรรยายที่เมืองไทย กล่าวไว้ว่า แนวทางการออกแบบ
เส้นสายภายนอกของรถคันนี้คือ “Swedish coastline’s cliffs and seas” อันเป็นการนำเกลียวคลื่น ซึ่งตัดกับ
ทะเล มาผสมผสานกันไว้อย่างลงตัว โดยมีไฟท้ายรูปทรงคล้ายเรือไวกิ้ง มาประดับเอาไว้ ด้านหลัง

แนวเส้นบ่าข้างนั้น ดูพริ้วกว่า Volvo แทบทุกรุ่นก่อนหน้านี้ ช่วยลดความแข็งกร้าว และเพิ่มบุคลิก
Coupe 4 Door แบบที่ Volvo เคยพยายามจะให้ S60 รุ่นเดิม เป็น ให้มาเด่นชัดเอาใน S60 รุ่นนี้แทน

เสียแต่ว่า เมื่อไฟท้าย แบบเรือไวกิ้ง ถูกปรับแต่งงานออกแบบเพื่อผลิตขายจริง ไปๆมาๆ มันกลับมีรูปทรง
ชวนให้เรานึกถึง ชุดไฟท้ายของ Honda Civic FD รุ่นปัจจุบัน เวอร์ชัน อเมริกาเหนือ กันเสียดื้อๆ

 

กุญแจของ S60 เป็นรีโมทคอนโทรล PCC (Personal Car Communicator) Keyless Smart Entry หน้าตา
แบบเดียวกับใน S80 และ XC60 ใหม่ เพียงพกรีโมท PCC ไว้กับตัว ทันทีที่ดึงมือจับประตู รถจะปลดล็อค
โดยอัตโนมัติ การติดเครื่องยนต์ใช้วิธี กดปุ่มบนแผงหน้าปัด ล็อครถโดยการกดปุ่มตรงมือจับประตู ถ้ากำลัง
เดินช้อปปิงอยู่ แล้วสงสัยว่าล็อครถหรือยัง ให้กดปุ่ม i บน รีโมท PCC ไฟสัญญาณก็จะวิ่งวนๆๆ รอบๆ
PCC ถ้าล็อกรถแล้ว ก็จะขึ้นไฟเขียว ที่รูป กุญแจล็อก แต่ถ้ายังไม่ได้ล็อก ก็จะขึ้นไฟสัญญาณเตือน
ที่รูปกุญแจปลดล็อก เมื่อเดินกลับมาที่รถ ภายในรัศมี 60 ถึง 100 เมตร คุณสามารถกดปุ่ม i แสดงข้อมูล
ของ PCC เพื่อดูรายงานล่าสุดเกี่ยวกับสถานะการล็อคและการส่งสัญญาณเตือน

ระบบเซ็นทรัลล็อคควบคุมด้วยรีโมตคอนโทรล PCC ของ S60 สามารถสั่ง ล็อคหรือปลดล็อคประตู
และฝากระโปรงหลัง โดยกดปุ่มเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังสามารถเข้าเมนู ไปตั้งค่าส่วนตัวเพื่อกำหนดปี
ให้รีโมตปลดล็อคประตูด้านคนขับก่อน หรือปลดล็อคประตูทุกบานพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังสามารถ
สั่งเปิด – ปิดกระจก หน้าต่างทุกบาน (รวมทั้งซันรูฟ ถ้ามี) ได้เพียงแค่กดปุ่ม ล็อก หรือปลดล็อก ค้างไว้
2 วินาที และสั่งปลดล็อคฝากระโปรงหลังแยกต่างหากได้ แถมยังตั้งค่าในเมนูของรถ ให้ประตูทุกบาน
ล็อคอัตโนมัติ เมื่อออกรถไปได้สักพัก และแน่นอน ผู้ขับขี่สามารถล็อคประตูทันทีได้เอง โดยกดปุ่ม
ล็อกข้างมือจับประตูภายในรถ ซึ่งมีทั้งปุ่มล็อก ฝั่งผู้ขับขี่ และฝั่งผู้โดยสารด้านหน้า

นอกจากนี้ ยังมีระบบ ล็อคส่วนบุคคล สามารถสั่งล็อคห้องเก็บสัมภาระและช่องเก็บของหน้ารถได้
ในกรณีที่คุณผู้อ่าน ให้คนรอบข้าง ยืมรถไปใช้ โดยถอดกุญแจขนาดจิ๋วที่อยู่ในรีโมตคอนโทรลออกมา
ล็อคช่องเก็บของหน้ารถ เพียงเท่านี้ คนอื่น ก็จะไม่สามารถปลดล็อคห้องเก็บสัมภาระและช่องเก็บของ
หน้ารถได้จากรีโมตคอนโทรลของเซ็นทรัลล็อค แต่จะยังสามารถใช้ระบบเซ็นทรัลล็อคและสตาร์ตรถ
ได้ตามปกติ

และเพื่อให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ก็ยังมีระบบ Immobilizer และล็อกกันขโมย ทำให้ไม่สามารถติดเครื่องยนต์
ได้โดยไม่มีกุญแจดอกจริง แม้แต่ถ้ามีขโมยหาทางเข้าไปในรถของคุณ อย่างเช่น การทุบกระจก ระบบ
ล็อคตายก็จะทำให้ไม่สามารถเปิดประตูจากด้านในได้ ที่สำคัญ ยังมีสัญญาณกันขโมยควบคุมด้วย PCC
เชื่อมต่อกับประตู ฝากระโปรงหน้า ฝากระโปรงหลัง และช่องเสียบกุญแจสตาร์ท สัญญาณนี้จะร้องลั่น
เมื่อมีการเคลื่อนไหวภายในรถ หรือมีการทุบกระจกด้วย และในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่นเมื่อ มีคนมารอ
ที่รถ และพร้อมจะทำร้าย ให้กดปุ่มฉุกเฉินบน PCC รถจะร้องขึ้นมา เพื่อส่งสัญญาณเพื่อร้องขอความ-
ช่วยเหลือได้ เมื่อดับเครื่องยนต์ จะมีไฟหน้าส่องสว่าง นำทางเข้าบ้าน และเมื่อเดินเข้าใกล้รถ หรือ
เมื่อออกจากรถ ไฟในห้องโดยสาร รวมทั้ง ไฟส่องพื้นที่ใต้กระจกมองข้าง ติดขึ้นมา สั่งการได้ผ่าน PCC

สรุปว่ามีระบบกันขโมยอย่างดี ติดตั้งมาให้จากโรงงานกันเลยทีเดียว

เมื่อเปิดประตู ผมก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงประการต่อมา ที่ทำให้ S60 แตกต่างไปจาก Volvo รุ่นอื่นๆ
ก่อนหน้านี้ นั่นคือ น้ำหนักของประตู ซึ่งเบากว่าเดิม และถ้าปิดประตูเข้าไป เสียงปิดประตู ฟังแล้วจะ
ไม่หนักแน่นเหมือนกับ Volvo รุ่นอื่นๆ จากโณงงานในสวีเดน หรือ เบลเยียม ในรอบ 4 ปีมานี้ แต่เสียง
ของมัน ฟังแล้ว นึกถึง ประตูของ Mercedes-Benz รุ่นใหม่ๆ มากขึ้นนิดนึง แม้จะไม่เหมือนกันเป๊ะเลยก็ตาม

การออกแบบแผงประตูด้านข้าง แม้จะยังคงวางแขนได้ดีเหมือนเคย และใช้อะลูมีเนียม เป็นวัสดุประดับ
ตกแต่ง แต่ ด้านบนของแผงประตูนั้น ปรับให้ลาดเอียงลงเล็กน้อย จนคล้ายกับท่อนบนของแผงประตู
BMW 3-Series มากขึ้น กระจกหน้าต่าง ไฟฟ้า เป็นแบบ One-Touch ทุกบาน พร้อมสวิชต์ล็อกประตู
Central Lock ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารด้านซ้าย

สังเกตการออกแบบยางขอบประตูให้ดี จะเห็นว่า ถูกปรับปรุงให้มีเบ้าติดตั้งยางขอบประตู โดยรอบ
ของกรอบประตู นอกเหนือจากบริเวณ กรอบกระจกหน้าต่าง ซึ่งเป็นการออกแบบ เพื่อลดเสียงลม
ที่จะเล็ดรอดเข้ามายังห้องโดยสาร ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ยิ่งเมื่อสังเกตกันไปเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นว่า แผงประตูของ S60 ใหม่ มีความคล้ายคลึงกับแผงประตูของ
Crossover SUV รุ่น XC60 ยกพอสมควร เพียงแต่อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันบ้างนิดหน่อย

แต่พอหันมาดูเบาะนั่งคู่หน้าแล้ว โอ้โฮ! ใช่เลย! ชุดเบาะรองนั่ง และระบบสวิชต์ปรับตำแหน่งเบาะ
ด้วยไฟฟ้า ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสาร รวมถึง ระบบจำตำแหน่งเบาะนั่ง และกระจกมองข้าง 3 ตำแหน่ง
ของ S60 ใหม่นั้น ยกชุดมาจาก Volvo XC60 กันทั้งดุ้น แบบไม่ต้องออกแบบใหม่ให้เปลืองงบโดยใช่เหตุ

เพียงแต่ว่า ปีกข้างของพนักพิงหลังนั้น หากเป็นรุ่น S60 อาจจะ มีรอยตะเข็บฝีเย็บที่แตกต่างกันนิดหน่อย
รวมทั้ง พนักศีรษะ ที่แตกต่างจาก XC60 เพราะมีรูปทรงแบบเดียวกับ Volvo รุ่นก่อนหน้านี้ และมันยังคง
ดันหัวผมอยู่บ้าง แต่น้อยมาก ไม่หนักหนา เหมือน S60 รุ่นก่อน และอันที่จริง ก็ไม่ดันหัวผมมากเท่า
Hyundai Tucson ซึ่งถือว่า ดันหัวผมมากที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

ดังนั้น  เบาะนั่ง ยังคงให้ความสบายในแบบของ Volvo ยุคหลังปี 1998 เป็นต้นมา นั่งนานๆ ไม่ปวดหลัง
ไม่เมื่อยแผ่นหลัง หรือบั้นท้ายแต่อย่างใด แถมยังแน่นอนว่า พื้นที่เหนือศีรษะ ก็จะไม่ใช่ปัญหาของรถคันนี้
หรือ Volvo รุ่นไหนๆ อีกด้วย

ที่วางแขนตรงคอนโซลกลางนั้น อยู่ในตำแหน่งความสูงที่เหมาะสม แต่จะดีกว่านี้ ถ้าสามารถ เลื่อนขึ้นหน้า
หรือถอยหลังได้ มิใช่ติดตั้งตายตัว ในแนวเดียวกันกับ S80 และ XC60 เลย ก็แน่ละ อะไหล่ชิ้นนี้ แทบจะ
ยกมาจาก XC60 กันเลย เหมือนกับเบาะคู่หน้านั่นแหละ!

ส่วนการเข้าออกประตูคู่หลัง ทำได้ดีขึ้น หัวไม่ชนกับขอบหลังคาด้านบนง่ายดายเท่ารถรุ่นก่อน
ตำแหน่งการวางแขนของแผงประตูคู่หลัง ไม่ได้แตกต่างจากแผงประตูคู่หน้าแต่อย่างใด กระจก
หน้าต่างด้านหลัง สามารถเลื่อนลงมาได้จนสุด

และด้วยเหตุที่ S60 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้การจัดวางตำแหน่งล้อ กับเบาะหลังให้สมดุลกัน
ไม่ต้องเจอข้อจำกัดจากระบบขับเคลื่อน มากเท่ากับ BMW 3-Series และ Mercedes-Benz C-Class
กระนั้น พื้นที่วางขา ก็ยังจัดอยู่ในเกณฑ์ พอรับได้อยู่ พื้นที่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายนัก คนตัวสูง
นั่งแล้ว ต้องขึ้นอยู่กับผู้โดยสารตอนหน้าด้วย ปรับเบาะถอยหลังมามากไป เข่าของผู้โดยสารด้านหลัง
อาจจะติดพนักพิงเบาะหน้าได้

ชุดเบาะนั่งด้านหลัง ยังคงความสบายเหมือนกับที่ Volvo ทุกรุ่นมีมาให้ และถ้าใครที่เกรงว่าจะเป็น
เบาะหลังชุดเดียวกับ XC60 เหมือนกับเบาะคู่หน้านั้น ขอแสดงความยินดีด้วยครับ เบาะด้านหลัง
ของ S60 เป็นคนละชุด แตกต่างจาก XC60 เพียงแต่ มี งานออกแบบที่คล้ายกันนิดหน่อย เท่านั้น
มองง่ายๆ เบาะรองนั่งทั้ง ซ้าย และ ขวา ไม่สามารถ ยกขึ้นมาเป็นเบาะรองนั่งสำหรับเด็กในตัว
เหมือนอย่างที่ XC60 กับ V70 ทำได้ แต่ประการใด พนักวางแขนตรงกลาง พับเก็บได้ พร้อมช่อง
วางแก้ว 2 ตำแหน่ง ก็ออกแบบมาไม่เหมือนกัน

เบาะรองนั่ง นั่งได้เต็มก้นมากขึ้น พนักศีรษะ ก็ยังน่าพิงเหมือนเคย อีกทั้งยังมีสวิชต์ไฟฟ้า สั่ง
พับพนักศีรษะทั้งฝั่งซ้าย และขวา ลงมาได้ หากไม่มีใครนั่งอยู่ที่เบาะหลัง เพื่อเพิ่มทัศนวิสัย
การมองเห็นด้านหลังรถมากขึ้น

นอกจากนี้ เบาะด้านหลัง ยังสามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บ
สัมภาระด้านหลังอีกด้วย

ถ้าคิดจะพับเบาะหลัง ก็ไม่ยาก ทำเหมือนกับ Volvo S80 นั่นละ คือเดินไปเปิดฝากระโปรงหลัง
จะด้วยการกดสวิชต์ ที่ซ่อนตัวอยู่ทั้งบริเวณ กรอบป้ายทะเบียนหลัง บนรีโมท PCC หรือ ปุ่มไฟฟ้า
ติดตั้งใกล้กับ ปุ่มเปิดฝาถังน้ำมัน และสวิช์ เปิด-ปิด ไฟหน้ารถกับไฟตัดหมอก บนแผงหน้าปัด ข้าง
พวงมาลัย ฝั่งขวามือ

เปิดขึ้นมา ก็จะพบ ก้านโยก ดึง ตรงกึ่งกลาง ขอบด้านบนของห้องเก็บของด้านหลัง ดึงฝั่งซ้าย
พนักพิงเบาะหลังฝั่งซ้าย ก็จะปลดล็อก ให้คุณดันพับลงไป ฝั่งขวา ก็เช่นเดียวกัน

มีป้ายสามเหลี่ยม แถมมาให้จากโรงงาน เก็บไว้ที่ฝากระโปรงหลังอย่างที่เห็นอยู่นี้

ห้องเก็บของมีขนาด 380 ลิตร ซึ่งก็ถือว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติของรถยนต์ Sedan ทั่วไป
ไม่ถึงกับใหญ่ แต่ก็ไม่เล็กเมื่อได้เห็นของจริง มีแผงกันสัมภาระกระเด็นกระดอนไปมา
ใช้งานได้ด้วยการยกขึ้นตั้งฉากง่ายๆ เช่นนี้ เพียงเท่านี้ ข้าวของในห้องเก็บสัมภาระ
ด้านหลังก็จะไม่ไหลไปมา อีกแล้ว

และเมื่อยกพรมปูพื้นห้องเก็บของด้านหลังขึ้นมาจะพบว่า Volvo รุ่นนี้ ไม่มียางอะไหล่
มาให้แล้ว แต่มีชุดปะยาง มาให้แทน ยังดีที่มีเครื่องมือซ่อมบำรุงประจำรถอย่างที่ขันน็อตล้อ
ติดตั้งมาให้ด้วย

และเมื่อยกพรมปูพื้นห้องเก็บของด้านหลังขึ้นมาจะพบว่า Volvo รุ่นนี้ ไม่มียางอะไหล่มาให้แล้ว
แต่มีชุดอุดรอยรั่วของยาง มาให้แทน ยังดีที่มีเครื่องมือประจำรถติดตั้งมาให้ด้วย

มองจากด้านบนเพดานหลังคาลงมา แผงบังแดด ทั้งฝั่งซ้าย – ขวา มีทั้งกระจกแต่งหน้า และ
ไฟส่องสว่างมาให้ อีกทั้งตัวแผงบังแดดเอง เมื่อปลดล้อกสลัก ออกมาแล้ว ยังสามารถ เลื่อน
ไป – มา เพื่อให้สามารถบังแสงแดด ได้ทั่วถีงกว่าเดิม ส่วนไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร
และไฟอ่านแผนที่ ก็ถอดมาจาก Volvo รุ่นใหม่คันอื่นๆ อยู่ดีนั่นแหละ

แผงหน้าปัด คืออีกจุดหนึ่งที่มีการออกแบบใหม่ เสียจนกระทั่ง มีบางสิ่งที่ดูพิลึกิลั่น ให้เรา
ได้เห็นกันตรงหน้า นั่นคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ตำแหน่งของช่องแอร์ ตรงกลาง
ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมทีมออกแบบ ถึงได้ยอมจำนนอย่างง่ายดายต่อปัญหา
ด้านการ วาง Layout จนต้อง ย้ายช่องแอร์ กลาง 1 ช่อง ลงมาไว้ ใต้จอมอนิเตอร์ และอยู่ร่วมกับ
แผงควบคุมกลาง ลายอะลูมีเนียม กัดขึ้นเงาแสนสวย อย่างที่เป็นอยู่นี้ หรือกลัวว่า ผู้โดยสาร
ด้านหลัง ในประเทศเขตร้อน จะพากันบ่นอุบว่า ช่องแอร์ กลางมีขนาดเล็กไป จนทำให้เครื่อง
ปรับอากาศ ที่แม้จะเย็นฉ่ำ อยู่แล้ว แต่ก็ทำงานยังไม่ถึงกับไวนัก ก็อาจเป็นได้

บอกตรงๆว่า ผมชอบแผงหน้าปัดของ S60 รุ่นเดิมมากกว่าเล็กน้อย ในแง่ของการออกแบบ
แต่แผงหน้าปัดของรถรุ่นใหม่นี้ กลับช่วยลดความสับสน ขณะที่คุณคิดจะใช้งานอุปกรณ์
อะไรสักอย่าง และต้องใช้มือคลำหา ในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง ได้ดีกว่า แผงหน้าปัด
ของรถรุ่นเดิมที่ผมชื่นชอบ

พวงมาลัยแบบสามก้าน ออกแบบในสไตล์ร่วมสมัย นอกจากจะสามารถปรับระดับสูง – ต่ำ และ
ใกล้ – ไกลได้แล้ว ยังถูกติดตั้งปุ่มควบคุมทั้งระบบ Adaptive Cruise Control รวมทั้ง สวิชต์ ควบคุม
ชุดเครื่องเสียง และโทรศัพท์ เคลื่อนที่ เพื่อความสะดวกในการใช้งานอีกด้วย ส่วนการติดเครื่องยนต์
ในเมื่อมี รีโมท PCC อยู่แล้ว คุณก็แค่ พกไว้กับตัว แล้วเหยียบเบรก กดปุ่ม Start ได้ทันที

แผงคอนโซลกลางและหน้าปัดทำมุมเอียงหันไปด้านคนขับ เหมือน S60 รุ่นก่อน เพื่อให้ผู้ขับขี่มองเห็น
ข้อมูลต่างๆ ที่สำคัญได้สะดวก จากหน้าจอมอนิเตอร์สี 7 นิ้วซึ่งติดตั้งไว้ที่แผงคอนโซลหน้าด้านบน
ในระดับเดียวกันกับ ชุดมาตรวัดความเร็ว เพื่อให้ผู้ขับขี่ มองเห็นข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และลดการ
ละสายตาจากพื้นถนนให้สั้นที่สุด

จอมอนิเตอร์แบบใหม่นี้ ถูกปรับปรุงรูปแบบการใช้งาน ให้เป็นในลักษณะ ซ้าย ไป ขวา
แบบเดียวกับ ระบบ iDrive Generation 2 ของ BMW ซึ่งช่วยให้การใช้งานจริง สะดวก
และไม่สับสน เมื่อเทียบกับระบบ COMMAND ของ Mercedes-Benz ที่จะต้องใช้วิธี
เลื่อนขึ้น – ลง และผสม ซ้าย – ขวา ไปพร้อมกัน

คุณสามารถ เลื่อนเมนู ไปปรับตั้งค่าของระบบต่างๆ ในรถได้ ซึ่งมีเมนูให้เลือกมากมาย
แต่แอบเสียดายเรื่องเดียวคือ ไม่มีระบบนำทาง GPS Navigation มาให้ ทั้งที่รถยนต์
ในระดับราคานี้ ควรมีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานได้แล้ว และเราได้แต่หวังว่า รุ่นประกอบ
ในระเทศ ซึ่งคาดว่าน่าจะตามมาหลังจากรีวิวนี้เผยแพร่ไปแล้ว 1 ปีข้างหน้า ควรจะใส่มาให้ด้วย

นอกจากนี้ จอมอนิเตอร์ ยังทำหน้าที่แสดงผลจากกล้อง ขนาดเล็ก ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังรถ แถมยังมี
เซ็นเซอร์ กะระยะถอยหลังมาให้อีก เสียงดัง ปุ๊กๆๆๆ คือ กะว่า งานนี้ ถ้าถอยแล้วยังชนอีก คนขับ
ก็สมควรจะต้องไปสอบใบขับขี่ใหม่ได้แล้ว แถบสีเหลือง บนหน้าจอ สามารถหักเหได้ ตามแนว
การหมุนของพวงมาลัยรถ

ชุดมาตรวัด ยังคงออกแบบ และจัดเรียงตำแหน่งไฟสัญญาณ รวมทั้งมาตรวัดต่างๆ เป็นรูปแบบเดียวกันกับ
มาตรวัดของ Volvo รุ่นอื่นๆ นับตั้งแต่รุ่นปี 2007 เป็นต้นมา หน้าจอวงกลม ตรงกลาง ของทั้ง มาตรวัด
ความเร็ว และมาตรวัดรอบ จะมีจอ Multi Information System เอาไว้แต้งการทำงานของระบบต่างๆ
ภายในรถ ทั้งการแจ้งเตือน การแจ้งข้อมูล หรือ การทำงานของระบบ City Safety ต่างๆ

 

เครื่องปรับอากาศ เป็นแบบ Digital แยกฝั่ง ซ้าย – ขวา ซึ่งให้ความเย็นกับคนขับอย่างผมได้ดี
แต่ กล้วย BnN และ Toyd แห่ง The Coup Channel ของเรา บ่นอุบเลยว่า การมีช่องแอร์ ที่
เสากลางทั้ง 2 ฝั่ง สำหรับผู้โดยสารด้านหลังนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยังคงแทบไม่ได้รับแรงลม
จากแอร์ เท่าที่ควร…สงสัยเหตุนี้กระมัง ถึงต้องทำ ช่องแอร์ บนคอนโซลกลางขนาดใหญ่
ไว้เหนือแผงสวิชต์ ควบคุม ต่างๆ อย่างที่เห็นอยู่นี้

ชุดเครื่องเสียงที่ติดตั้งมาให้ เป็นแบบ High Performance Multimedia (Level 3) 4×40 วัตต์ พร้อมลำโพง
มากถึง 8 ชิ้น มีระบบ Dolby DIGITAL ที่ Volvo เคลมว่า ให้คุณภาพระดับเดียวกับที่ใช้ในระบบ Home
Theatre และ Professional Theatre แถมยังมีเทคโนโลยี Equalizer ระบบ MultEQ ซึ่งสามารถแก้ไขปัญหา
เสียงเครื่องดนตรีเพี้ยนไปจากความจริง ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ ยังมีช่อง Port สำหรับเสียบเชื่อมต่อกับอุปกรณ์
เครื่องเล่นเพลงอื่นๆ อย่าง iPod และสามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่าน Bluetooth แถมยังสามารถ
ดึงเพลงจากในโทรศัพท์มือถือของคุณ มาเล่นในชุดเครื่องเสียงของ S60 กันสดๆ ได้ แบบ audio streaming
เหมือนใน Mercedes-Benz C-Class ใหม่ กันแล้ว

ช่องเสียบ USB และ AUX ถูกซ่อนเอาไว้ ใต้ฝากล่องเก็บของซึ่งเป็นที่วางแขนในตัว แค่พอวางได้
เหลื่อมๆ นิดหน่อย นอกจากนี้ ยังมีช่องเสียบไฟ 12V และช่องใส่แก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง พร้อมไฟ
สีเขียวส่องสว่างมาให้ด้วยอีกต่างหาก มีฝาปิดแบบเลื่อน เพื่อความสวยงาม

คุณภาพเสียง ไม่มีอะไรให้ตำหนิ S60 ยังคงเป็นรถยนต์อีกรุ่นของ Volvo ที่รักษามาตรฐานของการติดตั้ง
ชุดเครื่องเสียงจากโรงงานไว้ได้อย่างดีเยี่ยม คถณภาพเสียงที่ออกมา ก็ยังคงให้ความประทับใจกับคนชอบ
ฟังเพลง อย่างผม เช่นเดิม เสียงเครื่องดนตรีที่ออกมา ผิดเพี้ยนจากแหล่งกำเนิดเสียงค่อนข้างน้อย ไม่เยอะ
และทำได้ดี เทียบเคีบงได้กับ ชุดเครื่องเสียงของ S80 ใหม่ กันเลย

ทัศนวิสัย ด้านหน้า ก็ยังคงชัดเจนดี ตามมาตรฐานของรถยนต์ทั่วไป เป็นรถอีกคันหนึ่ง
ที่คุณยังเห็นฝากระโปรงหน้า นิดหน่อย ขณะขับรถ แม้ว่าจะปรัะบตำแหน่งเบาะรองนั่ง
ให้ต่ำลงสุดก็ตาม

มองมาทางขวามือ เยื้องจากด้านหน้าเล็กน้อย เสาหลังคาหน้า A-Pillar ฝั่งขวา
แอบมีการบดบัง ในขณะเข้าโค้งทางขวามือ บนถนนสวนกันสองเลน นิดนึง
แม้จะไม่มากนัก ก็ตาม

แต่สำหรับเสาหลังคาหน้า A-Pillar ฝั่งซ้ายแล้วละก็  แม้ว่าจะมีการลดขนาดความหนาของเสาหลังคา
ลงไปจากรุ่นเดิมแล้วก็ตาม แต่การบดบังทัศนวิสัย ขณะเลี้ยวกลับ อาจจะมีหลงเหลืออยู่บ้างนิดนึง
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่า คุณปรับเบาะนั่งของคุณ ให้เลื่อนเข้าใกล้ หรือถอยห่างจากพวงมาลัย
มากน้อยแค่ไหน ถ้าปรับดีๆ ก็แทบจะไม่บังเลย แต่ถ้ามันบังเมื่อใด แสดงว่า คุณอาจจะปรับตำแหน่ง
เบาะนั่งไม่ถูกต้องกับสรีระที่ควรจะเป็น

กระจกมองข้างทั้ง 2 ฝั่ง ยังคงติดตั้งระบบเตือนจุดบอดด้านข้างรถ BLIS (Blind Spot Information system)
เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ทุกคัน จะมีกล้องอินฟาเรดใต้กระกมองข้าง หันไปทางด้านหลังรถ จับภาพรถคันที่
แล่นตามมาข้างๆ แล้วแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟสีอำพัน ขึ้นอยู่กับว่า รถ หรือจักรยานยนต์ดังกล่าว
จะแล่นมาทางฝั่งซ้าย หรือขวา ก็จะมีไฟสัญญาณแจ้งเตือนขึ้นมา ที่่กระจกมองข้างฝั่งนั้นแทน ระบบนี้
จะทำงานเมื่อความเร็วรถมากกว่า 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมทั้งมีสวิชต์ ปิด-เปิด ระบบที่แผงควบคุม ด้านล่าง
ใกล้คันเกียร์ และถ้า ไฟ BLIS กระพริบถี่ๆ แสดงว่าระบบอาจติงต๊อง วิธีแก้คือ ปิดระบบไปเสีย แล้วหาทาง
ดับเครื่องยนต์ ก่อนจะติดเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง เพียงเท่านี้ระบบก็จะกลับมาทำงานได้ตามปกติ

 

ส่วนทัศนวิสัยด้านหลังนั้น ด้วยการออกแบบแนวขอบเส้นรอบกระจกหน้าต่าง บริเวณหูช้างด้านหลังใหม่
ทำให้เพิ่มพื้นที่การมองเห็นจากรถรุ่นเดิมก่อนหน้านี้อีกนิดนึง และช่วยทำให้เกิดความโปร่งตาขึ้นจาก
รถรุ่นเดิม อีกนิดนึง แต่ถ้าเมื่อใดที่เอาพนักศีรษะ ยกขึ้นตั้ง ทุกอย่าง ก็จะกลับไปเหมือนกับ รถยนต์ทั่วไป
คือ พนักศีรษะ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องบดบังการมองเห็น จักรยานยนต์ ที่อาจจะแทรกตัวมา
ในขณะที่คุณกำลังถอยรถเข้าจอด ก็เป็นไปได้

 

********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

S60 ใหม่ ถือเป็นการปรับปรุงด้านขุมพลังครั้งสำคัญอีกครั้ง ของ Volvo ในรอบหลายปี เพราะต่อจากนี้
เราจะไม่ได้เห็นขุมพลังแบบ 5 สูบเรียง แบบเบนซิน ในสายพันธ์ของ รถรุ่นนี้อีกต่อไป (แต่เราอาจยัง
ต้องเจอกันอีกต่อไปพักใหญ่ ในรุ่นเครื่องยนต์ ดีเซล เทอร์โบ คอมมอนเรล)

ในตลาดโลกนั้น S60 ใหม่ มีเคื่องยนต์เบนซินให้เลือกมากถึง 4 แบบ รวมทั้งเครื่องยนต์ดีเซล อีก 2 แบบ
ตั้งแต่รุ่นพื้นฐาน T3 เครื่องยนต์ B4164T3 บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 1,595 ซีซี 150 แรงม้า (HP) ที่
4,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร ตามด้วยรุ่น T4 วางเครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่เพิ่มกำลังเป็น
180 แรงม้า (PS) ที่ 5,700 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด เท่ากันกับรุ่น T3 ตามด้วยรุ่น 2.0 T และแรงสุดในรุ่น T6
เครื่องยนต์ B6304T6 บล็อก 6 สูบเรียง (วางขวางเนี่ยแหละ) DOHC 24 วาล์ว 2,953 ซีซี 304 แรงม้า (HP)
ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร    

ขณะที่รุ่น ดีเซล จะมีทั้งรุ่น D3 วางเครื่องยนต์ D5204T2 บล็อก 5 สูบเรียง DOHC 20 วาล์ว 1,984 ซีซี
Commonrail Turbo 163 แรงม้า (HP) ที่ 2,900 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร และรุ่น D5
วางเครื่องยนต์ D5244T10 บล็อก 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว 2,400 ซีซี Commonrail Turbo 205 แรงม้า( HP)
ที่ 4,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 420 นิวตันเมตร

 

เครื่องยนต์ ที่วางอยู่ใน S60 ใหม่ เวอร์ชันไทย ล็อตแรก คราวนี้ เป็นเครื่องยนต์ รหัส B4204T6
บล็อก 4 สูบเรียง วางขวาง DOHC 16 วาล์ว 1,999 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชด 87.5 x 83.1 มิลลิเมตร
อตราส่วนกำลังอัด 10.0 : 1 ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีด SFI เรียงลำดับการจุดระเบิดแบบ
มาตรฐาน 1 – 3 – 4 – 2 พ่วง Turbocharger รอบเดินเบา 780 รอบ/นาที รอบเครื่องยนต์สูงสุด
6,500 รอบ/นาที

 

ว่าแต่ ทำไม Volvo ถึงตัดสินใจ เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ 5 สูบ กลับมาเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบกันละ?

Tomas Ahlborg ผู้รับหน้าที่เป็น Project Director ของโครงการพัฒนา Volvo S60 ใหม่ กล่าวว่า
“เราประสบความสำเร็จ ในการสร้างเครื่องยนต์ 4 สูบ ที่ให้สมรรถนะเทียบเท่ากับเครื่องยนต์ 5 สูบเดิม
อีกทั้งยังใช้เชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่า เครื่องยนต์ ที่มีขนาดใหญ่กว่า นี่เป็นเครื่องยนต์
ที่ให้คุณประโยชน์ ทั้งในด้านการลดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเอาใจลูกค้าที่ต้องการสมรรถนะสูง
และการขับเคลื่อนที่ดีกว่าเดิม”

เมื่อแปลเป็นภาษาชาวบ้านแล้ว เหตุผลก็คือ ในเมื่อ เทคโนโลยีของ Volvo ในวันนี้ สามารถพัฒนา
เครื่องยนต์ 4 สูบ ให้ทั้งแรง และประหยัดได้เท่ากับเครื่องยนต์ 5 สูบเดิม แล้วทำไมเรายังคงต้องใช้
เครื่องยนต์ 5 สูบ เบนซิน กันอยู่อีกละ?

หนึ่งในเทคโนโลยี ที่ทำให้เครื่องยนต์ 4 สูบ บล็อกนี้ ให้ประสิทธิภาพได้เช่นนี้ มาจากการเลือกใช้
Turbocharger ที่มีขนาดเล็กที่สุดในตลาด เมื่อเทียบกับพวกพ้องร่วมพิกัด ที่มีพละกำลังไล่เลี่ยกัน

และที่แตกต่างจากชาวบ้านเขานิดหน่อย ก็คือ การออกแบบให้ชุด Turbocharger ขนาดเล็กที่ว่านี้
ติดตั้งเข้ากับท่อร่วมไอเสีย ที่สร้างมาจากการนำแผ่นเหล็ก มาดัดให้เข้ารูป ไม่ใช่เหล็กหล่อขึ้นรูป
เหมือนกับรถยนต์ Turbo สเป็กโรงงานทั่วไป ซึ่งเหล็กหล่อแบบเก่านั้น หนักกว่า อีกทั้งยังให้
ประสิทธิภาพในการลำเลียงไอเสียเข้าสู่โข่ง Turbocharger ได้ไม่ดีเท่ากับแบบใหม่

แผ่นเหล็กเกรดพิเศษที่ว่านี้ เบากว่า และช่วยให้ ไอเสียไหลเข้าโข่ง Turbo ได้อย่างมีระเบีบบ อันจะ
ส่งผลให้ Turbo สามารถสร้างประสิทธิภาพในการอัดอากาศ ป้อนเข้าเครื่อง (หรือที่เรียกว่า บูสท์)
ได้ดีขึ้น ภาษาของคนเล่นรถ Turbo เขาจะเรียกว่า มีอาการบูสท์ มาไม่ทันใจ (Lag) น้อยลง และ
เหนือสิ่งอื่นใด มันยังแผ่ความร้อนออกมาน้อยกว่า เนื่องจากมีฉนวนป้องกัน ดังนั้น Turbo แบบใหม่นี้
จึงสามารถรองรับไอเสียที่มีความร้อนสูง อีกทั้งยังให้ประสิทธิภาพในการเผาไหม้ที่ดีกว่า โดยไม่เพิ่ม
อุณหภูมิความร้อนในห้องเครื่องยนต์จากเดิมมากนัก

แม้ว่าท่อไอเสียที่ทำจากแผ่นเหล็กจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีการใช้ เฉพาะร่วมกับ Turbo
ชนิดโลหะหล่อขึ้นรูปเท่านั้น ระบบ Turbo แบบใหม่ที่ใช้แผ่นเหล็กใน S60 จึงถือเป็นอีกนวัตกรรม
ที่จดสิทธิบัตรโดย Volvo 

นอกจากนี้ เครื่องยนต์ B4204T6 ยังใช้ระบจุดระเบิดแบบ Direct Injection หรือระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิง
ตรงเข้าห้องเผาไหม้ อีกด้วย ซึ่งหน้าตาของระบบนั้น…คล้ายคลึงกับระบบ Commonrail คือมีรางเชื้อเพลิงร่วม
(เบอร์ 2) ซึ่งจะรับส่วนผสมของอากาศกับน้ำมัน (เชื้อเพลิง) มาจาก ปั้มแรงดันสูง (เบอร์ 3 ) ส่งตรงไปยัง
หัวฉีด (เบอร์ 1) ที่ติดตั้งอยู่ข้างห้องเผาไหม้ ตรงกลางระหว่าง วาล์วไอดี ทั้ง 2 ตัว โดยมีกล่องสมองกล
ของเครื่องยนต์ หรือ ECM (Engne Control Management เบอร์ 4 ) คอยควบคุมการฉีดจ่ายเชื้อเพลิง
ให้เหมาะสมกับลักษณะการเหยียบคันเร่ง และความเร็วที่ผู้ขับขี่เดินทางอยู่ในขณะนั้น

พละกำลังสูงสุด 203 แรงม้า (HP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 300 นิวตันเมตร หรือ 30.57 กก.-ม.
ที่รอบเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,750 – 4,000 รอบต่อนาที 

 

เชื่อมกับระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะแบบ Power Shift Dual Clutch ของ GETRAG รุ่น MPS 6-7
พร้อมโหมด บวก-ลบ ให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนเกียร์ ได้ตามใจชอบ ซึ่งเมื่อตรวจเช็คอัตราทดเกียร์แล้ว จะไม่เหมือนกับ
เกียร์ Dual Clutch ลูกอื่นๆ ที่วางอยู่ใน Volvo S40 และ Ford Focus TDCi และต้องถือว่า เป็นเกียร์คนละลูกกัน

อัตราทดเกียร์ มีดังนี้
เกียร์ 1                 3.818
เกียร์ 2                 2.150
เกียร์ 3                 1.407
เกียร์ 4                 1.029
เกียร์ 5                 1.188
เกียร์ 6                 0.971
เกียร์ R                 5.284
อัตราทดเฟืองท้าย    3.933 (เกียร์ 1-4)
                          2.682 (เกียร์ 5-6 + R)

เรายังคงจับเวลาหาอัตราเร่ง และความเร็วสูงสุด กันตามมาตรฐานเดิม โดยใช้เวลากลางคืน
เส้นทางโล่ง และสงบพอ เพียงแต่ว่า คนที่เข้ามาช่วยในการจับเวลาคราวนี้ อาจจะต่างกัน

ณ วันทดลองจับเวลา น้องกล้วย BnN ของเรา ติดภาระกิจถ่ายทำรายการ The Coup Channel
ที่สิงค์โปร์ ผมก็เลยจำเป็นต้องหามือปืนชั่วคราว มาช่วยงานกันก่อน มองไปมองมา เจอ
เพื่อนเก่ารอบข้าง  สมัยเรียน 1 คน ชื่อ Heart เป็นเพื่อนสมัยเรียน ม.ปลาย ซึ่งดูจะมีขนาด
ร่างกาย ใกล้เคียงกันกับกล้วยมากที่สุด เพราะ Heart มีน้ำหนักตัวแค่ 50 กิโลกรัม ไล่เลี่ยกัน
กับกล้วยเลย แต่เนื่องจากว่า Heart จับเวลาไม่คล่องนัก ผมจึงตัดสินใจ ขับไป กดนาฬิกาจับเวลา
ด้วยตัวเอง และให้ Heart จดบันทึกให้

ก็ถือได้ว่า เรายังรักษามาตรฐานเดิมตลอดมาของเรา คือ ทดลองตอนกลางคืน เปิดแอร์
พัดลมเบอร์ 1 เปิดไฟหน้า และ นั่ง 2 คน น้ำหนักรวมไม่เกิน 150 -160 กิโลกรัม และตัวเลข
ที่ออกมา เมื่อเทียบกับรถรุ่นเก่า รวมทั้งคู่แข่งในพิกัดเดียวกัน มีดังต่อไปนี้

ก่อนอื่น ทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า เหตุผลที่เราเทียบ ตัวเลขของ S60 2.0T กับ C250 CGI C250 CDI
และ 320d โดยที่ไม่ค่อยได้พูดถึง 320i นั่นเพราะว่า แม้ 320i จะอยู่ในตลาดในตอนนี้ กระนั้น เป็นเครื่อง
สเป็กใหม่ แต่ก็ยังไม่มี Turbocharge จึงดูไม่ยุติธรรมนักที่จะเอาเครื่องยนต์ แบบไร้ระบบอัดอากาศ ไป
เปรียบเทียบกับเครื่องยนต์ที่มีระบบอัดอากาศ

ส่วน การนำเวอร์ชัน Diesel Turbo ของคู่แข่งมาเปรียบเทียบด้วย เนื่องจากว่า ตัวเลขของรถในกลุ่มนี้
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ เบนซิน หรือ ดีเซล จะทำผลงานออกมาได้ใกล้เคียงกัน ดังนั้น การเปรียบเทียบ
จึงทำให้เรามองเห็นภาพรวมที่แท้จริง ของสมรรถนะ ที่รถยนต์ในกลุ่ม Premium Compact เหล่านี้ ทำได้

แม้ว่า เวลาขับใช้งาน หรืออกตัว โดยไม่ได้จับเวลา เราจะสัมผัสว่า ทำไม S60 ใหม่ มันแรงใช่เล่นเลยแหะ
แต่เมื่อมาจับเวลากันจริงๆ ชัดเจนว่า ด้อยกว่าคู่แข่ง จากตัวเลขที่ออกมา สงสัยไหมครับว่า ทำไม S60 จึง
ทำตัวเลขออกมาได้แบบนี้?

ผมกับตาแพน Commander CHENG แห่ง The Coup Team ของเรา นั่งวิเคราะห์กัน
และแพนก็ชี้ประเด็น ให้ผมดูว่า..มันอาจจะเป็นที่น้ำหนักตัวรถ…เออ ก็เป็นไปได้นะเรื่องนี้

เมื่อมานั่งรื้อค้นข้อมูลกัน เราก็พบว่า หากเปรียบเทียบน้ำหนักตัวรถเปล่าๆ ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ผลิตรถยนต์
ฝั่งยุโรป จะยึดค่าการคิดคำนวน น้ำหนักรถเปล่าๆ ตามมาตรฐานของ สหประชาชาติ ว่าด้วยข้อกำหนดเรื่อง
ยานพาหนะ Directive 92/21/EC version 95/48/EC ซึ่งระบุว่า น้ำหนักตัวรถที่ชั่งมาได้ จะต้องรวม น้ำมัน
90 เปอร์เซนต์ ของความจุถังน้ำมันรถคันนั้น รวม น้ำหนักตัวคนขับ 68 กิโลกรัม และ น้ำหนักสัมภาระอีก
7 กิโลกรัม เข้าไปแล้วด้วย

Volvo ระบุว่า S60 2.0T เกียร์อัตโนมัติ มีน้ำหนักตัวรถเปล่า อยู่ที่ 1,680 กิโลกรัม ซึ่งก็ตรงกับรุ่นที่จำหน่ายในบ้านเรา

มาดูทางฟาก Mercedes-Benz กันบ้าง C250 CGI Blue Efficiency นั้น มีน้ำหนักรถเปล่า 1,530 กิโลกรัม
ขณะที่ C250 CDI Blue Efficiency มีน้ำหนักรถเปล่า 1,615 กิโลกรัม  ส่วน BMW 320d นั้น ในสเป็กระบุว่า
น้ำหนักรถเปล่า แบบที่ BMW เรียกว่า Unladen weight  อยู่ที่ประมาณ 1,445 กิโลกรัม

เท่ากับว่า ยังไงๆ งานนี้ 320d ก็มีน้ำหนักเบาที่สุดในกลุ่ม ! และ แน่นอนว่า S60 มีน้ำหนักตัว
เยอะสุดในกลุ่ม

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ทีมวิศวกร Volvo ได้พยายามพัฒนาเครื่องยนต์ 4 สูบ 2.0 ลิตร ใหม่ ให้มีพละกำลัง
เท่าๆกันกับเครื่องยนต์ 5 สูบ 2.3 ลิตร ตัวเดิม ได้จริง ตามที่พวกเขาบอกไว้ เพียงแต่ว่า สิ่งที่ทำให้ S60 ยัง
ทำตัวเลขอัตราเร่งออกมาด้อยกว่าคู่แข่งนิดนึง อยู่ที่ น้ำหนักตัวรถ ที่มากกว่าชาวบ้านเขา ราวๆ 150 กิโลกรัม
ซึ่งแตกต่างกันจนก่อให้เกิดผลลัพธ์ต่างกัน อย่างที่เห็น ซึ่งงานนี้ S60 ใหม่ ทำเวลา 0 – 100 ดีกว่า รุ่น่ 2.3
LPT เดิม แต่ก็ยังมีอัตราเร่ง 80 – 120 ด้อยกว่า ราวๆ 0.6 วินาที แต่แพ้รุ่น D5 เดิม 0.4 – 0.6 วินาที

ส่วนประเด็นของความเร็วสูงสุด ที่แตกต่างกันอยู่นิดหน่อยนั้น ผู้การแพน Commander CHENG ของเรา
วิเคราะห์เอาไว้ว่า น่าจะมาจาก การที่ Volvo จงใจเลือกใช้ Turbocharger ขนาดเล็ก เพื่อช่วยให้การเรียก
แรงบิดในช่วงรอบเครื่องยนต์ ต้นๆ และช่วงรอบกลางๆ ที่ดีขึ้น ไม่แพ้เครื่องยนต์ 5 สูบ 2.3 ลิตร บล็อกเดิม
หวังผลในการตอบสนอง ด้านอัตราเร่งที่ดีขึ้น ซึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่วิศวกรทั้งหลายจำเป็นต้องแลกมา
นั่นคือ การไหลออกของไอเสียในช่วงรอบเครื่องยนต์สูงๆ จะไม่คล่องตัวนัก  ความไหลลื่นในช่วงรอบ
เครื่องยนต์ ปลายๆ จะต้องหายไป ประเด็นนี้ ก็คงต้องเกิดขึ้นอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

อย่างไรก็ตาม ในการขับขี่ใช้งานจริง ตัวเลขทั้งหมดข้างต้นนี้ สำหรับผมแล้ว มันไม่เป็นปัญหาอะไรเลย
ถึงจะด้อยกว่าคู่แข่งนิดหน่อย แต่เอาเข้าจริง แรงบิดที่มีมาให้ ก็เพียงพอต่อการใช้งานอย่างเหลือเฟือ
ในช่วงออกตัว ครั้งแรกๆที่ขึ้นขับ คุณจะเห็นว่า รถพุ่งไปข้างหน้าอย่างฉับไว ต่อเนื่อง ในช่วงเร่งแซง
รอบเครื่องยนต์กลางๆ ก็ถือว่าทำได้ดีไม่ด้อยไปกว่าคู่แข่งเท่าใดนัก

สรุปว่า ถึงตัวเลขจะด้อยกว่าคู่แข่ง แต่ พละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่นี้ ถือว่าเพียงพอ กับตัวรถ แต่ถ้าจะให้ต้อง
แก้ไขนั้น การไปปรับแก้ไข ลดน้ำนักรถทั้งคัน ดูจะเป็นเรื่องยากเย็นสำหรับทีมวิศวกรของ Volvo มากกว่า
วิธี ปรับปรุงสมรรถนะของเครื่องยนต์ ให้แรงขึ้น ซึ่งแม้จะยากพอกัน แต่ความวุ่นวายก็จะไม่น่ามากเท่า

การทำงานของเกียร์อัตโนมัติ คลัชต์คู่ ถึงจะเปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มนวล ในโหมด D แต่แน่นอนว่า เกียร์ของ
BMW 320d จะเปลี่ยนได้นุ่มนวล และต่อเนื่องมากกว่ากันนิดนึง ไม่เยอะนัก กระนั้น ในโหมด D ก็ยัง
ให้ความสนุกได้อยู่ การเปลี่ยนเกียร์ จะกระตุกนิดๆ ให้รู้ว่าเกียร์มีการเปลี่ยนตำแหน่งแล้วนะ

 

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นพวงมาลัย แบบ แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า
ครั้งแรกที่ขึ้นขับ คุณอาจสงสัยว่า ทำไมมันแตกต่างจาก พวงมาลัยของ Volvo รุ่นอื่นๆ นิดนึง
ในช่วงความเร็วต่ำ แต่เมื่อคุณขับออกถนนใหญ่แล้ว คุณจะพบว่า การบังคับเลี้ยว ยังคงมีน้ำหนัก
ที่ดี มั่นใจ และแม่นยำ มีระยะฟรี นิดหน่อย กำลังดี บังคับเลี้ยวไม่หนักไม่เบาเกินไป ในช่วง
การขับขี่ในเมือง และยังคงให้ความมั่นใจได้ดีในย่านความเร็วสูง การเลี้ยวโค้ง ทำได้นิ่ง และ
ไม่มีเรื่องใดให้น่าห่วง

ระบบกันสะเทือน หน้าแบบ แม็คเฟอร์สันสตรัต ด้านหลัง แบบมัลติลิงค์ คอยล์สปริง 4 ล้อ
มีการติดตั้งระบบควบคุมการทรงตัว Advanced Stability Control ซึ่งมีเซ็นเซอร์ ตรวจสอบทั้ง
การโคลงตัวของรถ ตรวจสอบอัตราเร่ง เพื่อตรวจจับการลื่นไถล ตั้งแต่เริ่มลื่น และพยายาม
ชดเชยแรงบิดไปยังล้อที่หมุนน้อยกว่า ให้เหมาะสม นอกจากนี้ยังมี ระบบควบคุมการทรงตัว
และยึดเกาะถนน DSTC (Dynamic Stability and Traction Control) ที่มาพร้อม Sport Mode
ช่วยควบคุมการทรงตัว ลดโอกาสที่รถจะเกิดอาการท้ายปัด หมุน หรือพลิกคว่ำ  อีกทั้งยังสามารถ
เลือกกดป่ม Sport Mode หากผู้ขับต้องการความสนุกในการขับขี่เพิ่มขึ้น โดยระบบจะยอมให้
ล้อหลังสามารถหมุนฟรีได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิม

แถมยังมีระบบควบคุมการเข้าโค้งการกระจายแรงบิด (Corner Traction Control by Torque Vectoring)
ถือเป็นการพัฒนาระบบ DSTC ให้ดีขึ้น เมื่อเข้าโค้ง ล้อที่อยู่ด้านในของโค้งจะเบรกพร้อมกับ
ถ่ายทอดกำลังไปยังล้อที่อยู่ด้านนอกมากขึ้น ทำให้ผู้ขับสามารถเข้าโค้งในวงแคบได้มากขึ้น
และลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการดื้อโค้งด้วย

การสอดประสานของทุกระบบที่ว่ามา ทำให้ S60 พาคุณขับผ่านโค้งได้อย่าง เป็นกลาง โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง โค้งตัว S ทางลงจากทางด่วนพระราม 6 ซึ่งผมมักใช้เป็นสถานที่ ทดลอง การตอบสนอง
ในการเข้าโค้ง ในช่วงกลางคืน เพราะรถน้อย และปลอดภัยพอที่จะเล่นกับโค้งนี้ได้

ณ ความเร็วในโค้ง ระดับ 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง พร้อมผู้โดยสาร อีก 4 คน รวมคนขับ การตอบสนอง
ของรถ เป็นกลางมากๆ หน้าไม่ดื้อมาก และบั้นท้าย ก็พยายามขืนตัวเองเอาไว้ ไม่ให้หลุดออกไป
การถ่ายเทน้ำหนักเป็นไปอย่างนุ่มนวล และมั่นใจได้ ว่าจะหลุดโค้งยากมาก ถ้าคนขับไม่ได้
เร่งความเร็วจนเกินขีดจำกัดที่รถจะรับไหว

อันที่จริง การเซ็ตค่าของสปริงกับช็อกอัพในแบบนี้ ก็ถือว่าค่อนข้างดี แต่ถ้าได้ช็อกอัพตัวแต่ง
จาก HEICO แล้วละก็ ผมเชื่อว่า จะยิ่งขับสนุกยิ่งกว่านี้ได้อีก โดยไม่น่าสูญเสียบุคลิกความเป็น
Volvo ไป

ระบบห้ามล้อ เป็นแบบ ดิสก์เบรก 4 ล้อ จานเบรกคู่หน้า มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 316 มิลลิเมตร หนา 28 มิลลิเมตร
พร้อมรูระบายความร้อน ระบบป้องันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรกตามสภาพการขับขี่และน้ำหนัก
บรรทุก EBD (Electronics Brake Force Distributor) และระบบช่วยเบรกแบบไฮดรอลิก (HBA Hydraulic
Brake Assist) จะช่วยให้เบรกทำงานเต็มที่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะที่ระบบพร้อมเบรก (RAB) จะ
เตรียมพร้อมสำหรับการเบรกที่รุนแรงโดยการเลื่อนผ้าเบรกไปใกล้จานเบรกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีระบบ
รักษาแรงเบรก (FBS) จะเพิ่มแรงเบรกที่ต้องการมากขึ้นโดยอัตโนมัติ หลังจากใช้เบรกอย่างหนักเป็นเวลานาน
เช่นในช่วงขับขี่ลงเขา

การทำงานของระบบเบรกนั้น ไว้ใจได้ หน่วงความเร็วได้อย่างรวดเร็ว นุ่มนวล ต่อเนื่องในแทบทุกสภาวะ
การขับขี่ ทั้งยังให้ความนุ่มนวล ขณะค่อยๆคลานไปตามสภาพการจราจรในเมือง  จะเบรกให้นุ่มนวล
ก็ทำได้ไม่ยากเย็น หรือจะต้อง เบรกอย่างหนักๆ ลดความเร็วลงมาจากระดับ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ก็ทำได้อย่างมั่นใจ และยังไม่พบปัญหาแต่ประการใด การตอบสนองถือว่าทำได้ดีมากๆ

นอกจากนี้ ระบบห้ามล้อ ยังทำงานร่วมกับ จุดเด่นอันสำคัญที่สุด และถือเป็นจุดขายของ S60 ใหม่นี้
คือ ระบบตรวจจับคนเดินถนนและระบบเบรกอัตโนมัติแบบเต็มแรงเบรก (Pedestrian Detection
with Full Auto Brake) ถือเป็นเทคโนโลยีระบบสั่งเบรกเอง เมื่อมีคนเดินถนนตัดหน้า รายแรกของโลก

ระบบดังกล่าวมีกล้องพร้อมเรดาร์ที่สามารถตรวจจับได้เมื่อมีคนเดินถนนอยู่ด้านหน้าของตัวรถ ก่อนจะ
ส่งสัญญาณเตือนผู้ขับเมื่อคนเคลื่อนเข้ามาในรัศมีทางเดินของรถ และจะช่วยหยุดรถแบบเต็มแรงเบรก
หากผู้ขับขี่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ อย่างทันท่วงที

สาเหตุที่ Volvo คิดค้นและพัฒนาระบบนี้ขึ้นมาก็เพราะว่า โลกของเรา มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคนเดินถนน
ในขณะที่การจราจรคับคั่ง ทุกวัน ในยุโรป 14% ของผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นคนเดินถนน
ส่วนในสหรัฐอเมริกา ตัวเลขนี้ก็สูงพอๆ กันคือ 11% และยิ่งพุ่งสูงถึง 26% ในประเทศจีน

Volvo Cars ใช้เวลาถึง 5 ปี ในการพัฒนาระบบตรวจจับคนเดินถนนพร้อมระบบหยุดรถแบบเต็มแรงเบรก
โดยได้ติดตั้งระบบนี้ในรถทดสอบและมีการทดสอบในพี้นที่ต่างๆ ทั่วโลก เพื่อให้ครอบคลุมรูปแบบการขับขี่
สภาพถนน และสภาวะอากาศที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ รถทดสอบดังกล่าว ยังต้องวิ่งเป็นระยะทางหลายแสน
กิโลเมตร บนถนนหลวง ในสภาพการใช้งานจริง เพื่อ “ฝึก” ระบบของเราให้สามารถอ่านและคาดการณ์
รูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนน รวมทั้งรูปร่างของคนที่แตกต่างกันในประเทศและวัฒนธรรมต่างๆ  
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลที่รวบรวมได้จากการทดสอบเหล่านี้ ยังถูกมาใช้ในการกำหนดสถานการณ์จำลองในระบบ
Computer Simulation ในห้องทดลองของ Volvo อีกด้วย

สถิติระบุว่าความเร็วของรถมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อผลของอุบัติเหตุ  การชนเมื่อความเร็วต่ำจะลด
ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บรุนแรงได้อย่างมาก  เช่น เมื่อลดความเร็วจาก 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง เหลือแค่
25 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบตรวจจับคนเดินเท้าพร้อมหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกจะช่วยลดความเสี่ยง
ต่อการเสียชีวิตลงได้ถึง 20% และในบางกรณีจะลดความเสี่ยงลงได้ถึง 85%

ระบบตรวจจับคนเดินถนนและช่วยในการหยุดรถแบบเต็มแรงเบรก ประกอบด้วย เรดาร์ที่พัฒนาขึ้นใหม่
ติดตั้งอยู่ที่กระจังหน้าของรถ กล้องที่ติดอยู่ด้านหลังของกระจกมองหลัง และกล่องควบคุมระบบ เรดาร์
ที่เห็นนี้ มีหน้าที่ตรวจจับว่า มีวัตถุอยู่ด้านหน้าของรถ หรือไม่ ถ้ามีก็ต้องวัดระยะห่างจากวัตถุนั้น ส่วนกล้อง
จะช่วยยืนยันว่าวัตถุนั้นคืออะไร เป็นโครงสร้างของมนุษย์ คือ มีศีรษะ ลำตัว แขน ขา หรือว่าเป็นรถยนต์

เรดาร์ใหม่นี้มีมองภาพมุมกว้างได้มากถึง 60 องศา สามารถตรวจจับได้กระทั่งคนที่เพิ่งจะก้าวลงมาบนถนน
กล้องนี้มีความละเอียดสูงกว่ารุ่นเดิมมาก ทำให้สามารถตรวจจับรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนนั้นได้ด้วย

ถ้าเรดาห์ กับกล้อง พร้อมใจกันบอกว่า มีวัตถุ หรือคนอยู่จริง ก็จะส่งข้อมูลอย่างรวดเร็ว ให้ระบบเบรกอัตโนมัติ
ทำงานทันที อย่างที่เห็นได้ในคลิปวีดีโอ ต่อไปนี้…

การตรวจจับคนเดินถนนได้อย่างแม่นยำเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและท้าทายความสามารถมาก ระบบ Pedestrian
Detection ของ Volvo ถูกเขียนโปรแกรมมาให้ติดตามรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนเดินถนนได้ และสามารถ
คำนวณได้ในทันทีว่า คนเดินถนนคนนั้นๆ มีแนวโน้มจะก้าวลงมาเดินบนทางเดินรถทางด้านหน้าของรถหรือไม่  
ระบบนี้สามารถตรวจจับได้ตั้งแต่คนที่มีความสูงตั้งแต่ 80 เซ็นติเมตรขึ้นไป ทำให้สามารถตรวจจับได้กระทั่ง
การเคลื่อนไหวของเด็กเล็กๆ

ในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน มีใครสักคนวิ่งตัดหน้า หรือ เดินลงมาบนถนน ตัดหน้ารถ ผู้ขับขี่จะได้ยินเสียงสัญญาณ
เตือน “ปี ริ๊บ ปิ ริ๊บๆๆๆๆ “พร้อมกับเห็นไฟกระพริบสีแดงที่หน้าปัดด้านบนของกระจกหน้ารถ  สัญญาณเตือน
เหล่านี้จะมีลักษณะคล้ายไฟเบรกเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขับขี่มีปฏิกิริยาทันที  ขณะเดียวกันระบบเบรกก็จะเตรียมพร้อม
ไว้ตลอด หากผู้ขับขี่ไม่เหยียบเบรกเมื่อได้ยินและเห็นสัญญาณเตือน แต่ระบบคำนวณแล้วว่าจะเกิดอุบัติเหตุแน่ๆ
ระบบจะสั่งให้ ระบบเบรกหยุดรถแบบเต็มแรงเบรกในทันที

ระบบ Full Auto Brake จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีโอกาสสูงที่จะหลีกเลี่ยงการชนคนในความเร็วไม่เกิน
35 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ถ้าหากใช้ความเร็วสูงกว่านั้น ระบบเบรกจะช่วยลดความเร็วลงเพื่อลดความรุนแรงในการชน

และเมื่อรถหยุดเรียบร้อยแล้ว…ถ้าผู้ขับขี่ยังตกใจอยู่ ไม่เหยียบเบรก ตามสัญชาตญาณ รถจะหยุดเพียงแค่ ไม่เกิน
2 วินาที เท่านั้น จากนั้น รถจะเคลื่อนตัวไปข้างหน้าต่อทันที! เพื่อลดปัญหาในกรณีที่ รถคันข้างหลัง อาจจะพุ่ง
เข้ามาชนด้านหลัง ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ดังนั้น ทันทีที่ระบบทำงานแล้ว ต้องเหยียบเบรกต่อทันที อย่าอึ้งนาน
ลองชม การสาธิต จาก ผม และ BnN & Toyd ได้ใน The Coup Channel คลิปข้างล่างนี้

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีใหม่นี้ก็ยังมีข้อจำกัดเช่นเดียวกับตามนุษย์ คือ จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ในเวลาที่มีแสงแดดเต็มที่  แต่จะ “มอง” ไม่ถนัดเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงน้อยหรือเมื่อสภาพอากาศภายนอกไม่ดี

อีกทั้ง ระบบนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อให้สั่งเบรกได้เอง เมื่อใช้ความเร็ว ไม่เกิน 35 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้าเกินกว่านั้น
ก็ชนคนเดินถนนอยู่ดีหนะครับ..แต่ไม่ต้องห่วง เพราะว่า ฝากระโปรงหน้า จะยุบตัวและช่วยลดการบาดเจ็บของ
คนเดินถนน ซึ่งเมื่อพวกเขาปลอดภัย หลังจากนี้ ก็จะถึงคราวที่คุณคงจะต้องซ่อมฝากระโปรงหน้าใหม่อย่างแน่นอน 

 

ไม่เพียงแต่จะช่วยในการหยุดรถกระทันหัน หากแต่ ระบบนี้ ยังทำงานเชื่อมต่อกับระบบควบคุมความเร็ว
คงที่พร้อมทั้งเพิ่มและปรับลดความเร็ว ตามระยะห่างจากรถคันข้างหน้าอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control
ซึ่งผู้ขับขี่ นอกจากจะตั้งความเร็วที่ต้องการ ได้จากปุ่ม บวก หรือลบ แล้ว ยังสามารถ ปรับตั้งระยะห่างที่
จากรถคันข้างหน้า ให้เรดาห์คอยเตือน และทำงานเตรียมพร้อม ได้อีกด้วย

ระบบควบคุมความเร็วรคงที่ พร้อมชั่นหยุด/ออกตัวรถอัตโนมัติ และระบบแจ้งเตือนระยะห่างจากรถคันหน้า
(Adaptive Cruise control with Queue Assist and Distance Alert – ACC) ช่วยให้ผู้ขับขี่ทิ้งระยะห่างเพื่อความ
ปลอดภัยจากรถคันหน้าในทุกระดับความเร็วจนถึง 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในการจราจรที่เคลื่อนตัวช้า ที่ระดับ
ความเร็วต่ำกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบหยุดรถและออกตัวรถอัตโนมัติ จะปรับระดับความเร็วของรถให้พอดี
กับคันหน้า และถ้าใช้ความเร็วสูงกว่า 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็สามารถตั้งความเร็วรถที่ต้องการและช่วงระยะห่าง
จากมาก ถึงน้อยที่สุด เท่าที่รถจะวิ่งไปถึงกันชนท้ายของรถคันหน้า ระบบจะปรับความเร็วให้สอดคล้องกับ
รถคันหน้าได้โดยอัตโนมัติ หรือแสดงไฟเตือนถ้าเข้าใกล้คันหน้ามากเกินไป

เหตุผลที่ต้องมีการเตือน ก็เพื่อการบอกให้ผู้ขับขี่รู้ตัวเพื่อให้เหยียบเบรกหรือหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
หากผู้ขับขี่ไม่ได้มีทำอะไรสักอย่างในทันที ที่ระบบร้องเตือน รถก็จะหยุดโดยอัตโนมัติด้วยแรงเบรกเต็มที่
ก่อนที่จะชน นอกจากนี้ ยังมีระบบ Queue Assist ในกรณีที่ เปิดระบบ Cruise Control เอาไว้ แล้วรถคันข้างหน้า
เกิดเบรกกระทันหัน จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถ้าความเร็วของรถคันข้างหน้า กับ S60 ของคุณ ต่างกันไม่เกิน
35 กิโลเมตร/ชั่วโมง (เช่น รถคันข้างหน้า แล่นอยู่ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถคุณแล่นมาราวๆ 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แล้วจู่ๆ รถคันหน้า เกิดเบรกขึ้นมา ระบบเบรกอัตโนมัติจะทำงาน ในโหมด Queue Assist เพื่อช่วยไม่ให้คุณพา
S60 ไปชนท้ายรถคันข้างหน้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้ผลเสมอไปทุกครั้ง เพราะถ้าใช้ความเร็วสูงๆ ระบบ
ก็จะชะลอความเร็วให้ แต่เพื่อแค่ช่วยลดความเสียหายจากการชน ให้คุณพุ่งเช้าชนรถคันข้างหน้า ด้วยความเร็ว
ที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น ดังนั้น จึงควรขับรถด้วยความไม่ประมาท เพราะจากการวิจัยของ Volvo
พบว่า มากกว่า 90% ของอุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดจากการขาดสมาธิ ของผู้ขับขี่ และกว่าครึ่งของผู้ขับขี่รถยนต์
ที่ชนท้ายรถคันหน้าไม่ทันได้เหยียบเบรกก่อนจะชน

แต่ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ S60 ก็จะเข้าสู่ช่วงเวลาที่ระบบความปลอดภัยเชิงปกป้อง
หรือ Passive Safety จะเริ่มรับช่วงทำหน้าที่ต่อเนื่องกันไป เพื่อให้ผู้โดยสารในรถปลอดภัยที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้

ในกรณีเกิดการชนด้านหน้ารถ  โครงสร้างตัวถัง ซึ่งใช้เหล็กหลากชนิดมาผสมผสานกัน จะช่วยกระจาย
แรงชนออกไปให้ทั่วทั้งคัน จากด้านหน้า จรดด้านหลัง พร้อมกับจะช่วยดูดซับแรงกระแทก หรือพลังงาน
จากการชน ไม่ให้เข้ามาถึงภายในห้องโดยสาร โครงสร้างด้านหน้าของ S60 ใหม่ ถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน
และ แต่ละโซนมีหน้าที่แตกต่างกันในยามเกิดอุบัติเหตุ  การวางเครื่องยนต์ในแนวขวางช่วยเพิ่มพื้นที่ว่าง
เพื่อรองรับการยุบตัวของตัวถัง และช่วยลดความเสี่ยงที่ตัวถังจะยุบเข้ามาถึงห้องโดยสารเมื่อเกิดการ
ชนด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบบเต็มหน้า หรือว่า ไม่เต็มพื้นที่้ด้านหน้า (Offset-Crash)

ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ พองตัวได้ขึ้นอยู่กับความหนักหนาของการชน ตามคำสั่งของระบบ Pre-prepared
Restraints (PRS) และเข็มขัดนิรภัยแบบปรับความตึงได้สำหรับทุกที่นั่ง พร้อมระบบ load limiter จะช่วยคำนวณ
และปรับแรงดึงกลับของเข็มขัดนิรภัยให้เหมาะสม กับการชนในครั้งนั้น

ถ้าเกิดการชนด้านข้าง ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ก็จะไม่ทำงาน แต่โครงสร้างตัวถังบริเวณ เสา B-Pillar จะรับหน้าที่
ร่วมกับระบบกระจายแรงกระแทกจากการชนด้านข้าง (Side Impact Protection System – SIPS) ประกอบด้วย
ถุงลมนิรภัยด้านข้างที่นั่ง ม่านนิรภัยด้านข้าง (Inflatable Curtain) และพนักศีรษะแบบมีระบบป้องกันการ
บาดเจ็บของกระดูกต้นคอและหลังที่เกิดจากการสะบัดของศีรษะ (Whiplash Protection System – WHIPS)
เพื่อปกป้องผู้โดยสารให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

ผมชอบที่ Volvo เขียนเอาไว้ในแค็ตตาล็อกของเขาอยู่ประโยคนึงที่ว่า “รถจะปลอดภัยเพียงใดนั้น
ไม่ได้วัดกันที่จำนวนอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย แต่ขึ้นอยู่กับว่า อุปกรณ์เหล่านั้น จะทำงานประสานกัน
ได้ดีเพียงใด ในการช่วยให้ผู้ใช้รถ ห่างไกลจากอันตราย

 

********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย **********

เรายังคงทดลองด้วยวิธีการดั้งเดิม คือ เติมน้ำมันเบนซิน 95 Techron ที่สถานีบริการ Caltex บนถนนพหลโยธิน
ฝั่งขาเข้า เยื้องกับ ศูนย์เบนซ์ราชครู และปากซอยอารีสัมพันธ์ คราวนี้ เราจับเติมเต็มถัง เอาแค่หัวจ่ายตัดก็พอ
เพราะรถประเภทนี้ กลุ่มลูกค้า อยากทราบอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็จริง แต่ไม่ได้ถึงขั้นนำมาเป็นประเด็นหลัก
ในการตัดสินใจซื้อ คือ มองแค่ว่า ขอให้มันกินน้ำมันน้อยหน่อยก็พอรับได้แล้ว ไม่ต้องประหยัดโอเวอร์ ขนาด
ECO Car หรอก

ถึงแม้ว่าเราจะใช้วิธีการทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันกันเหมือนเดิม เพียงแต่ว่า โดยปกติแล้ว
ผู้ที่จะมาช่วยผมทดลองในช่วงที่ผ่านมา จะเป็น น้องกล้วย BnN แห่ง The Coup Team ของเรา
แต่เนื่องจาก ในวันทดลอง BnN ติดภารกิจ ถ่ายทำรายการ The Coup Channel อยู่ที่ สิงค์โปร์
ดังนั้น เราก็เลยมีตาหลุยส์ แห่งร้านเป็ดย่างแมนดารีน เพื่อนสนิทผม มาช่วยทำหน้าที่นี้แทน

เมื่อเติมน้ำมันเสร็จ Set 0 บน Trip Meter แล้ว ก็เริ่มขับออกจากปั้ม เลี้ยวกลับ ไปเข้า ซอยอารีย์ ลัดเลาะไปขึ้น
ทางด่วน พระราม 6 มุ่งหน้าไปยัง ปลายสุดทางด่วนอุดรรัถยา หรือสายเชียงราก ที่อยุธยา แล้วเลี้ยวกลับมา
ขึ้นทางด่วน สายเดิม มุ่งหน้าย้อนกลับเข้ากรุงเทพฯ เราใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่งกัน 2 คน
ตามเคย

 

เมื่อลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราเลี้ยวซ้าย ลัดเลาะมาตามถนนพหลโยธิน เลี้ยวกลับมาเติมน้ำมัน
เบนซิน มาตรฐาน Techron 95 ที่ปั้ม Caltex แห่งเดิม ณ หัวจ่ายเดิม และเติมแค่ หัวจ่ายตัดเหมือนกับตอนเริ่มต้น

 

มาดูตัวเลขที่ S60 ใหม่ ทำได้ดีกว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บน Trip Meter 92.1 กิโลเมตร

 

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ 7.71 ลิตร

 

อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.94 กิโลเมตร/ลิตร

เอาแล้วไง ทำไมตัวเลขมันต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นขนาดนี้? ปกติแล้ว Volvo รุ่นใหม่ๆ ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
อย่างแย่ๆ ก็ 12 กิโลเมตร/ลิตร ทำไมคันนี้ มันลงต่ำไปถึง 11.94 กิโลเมตร/ลิตร สร้างความคาใจให้ผม เป็นอย่างมาก

ในที่สุดก็หันไปมองหน้าหลุยส์ “พอว่างไหม อยากจะลองอีกรอบ มันคาใจมาก เราไม่เชื่อว่ามันจะเป็นตัวเลขนี้”

เพื่อนหลุยส์ ก็โอเค ยอมนั่งเสียเวลากับผม ไปทำขั้นตอนที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด อีกรอบหนึ่ง นั่นคือ ในเมื่อ
เราเติมน้ำมันเต็มถัง และหัวจ่ายตัดกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่ต้องเติมกลับเข้าไปใหม่อีก ตอนนี้ ก็เพียงแค่ ออกรถ
เลี้ยวเข้า ซอยอารีย์ ทะลุลัดเลาะ มาจนถึงซอยโรงเรียนเรวดี จากนั้น ขับขึ้นทางด่วนพระราม 6 ขับกันยาวๆ
ด้วยความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิด Redar Cruise Control ไปด้วย เพียงแต่ว่า คราวนี้ รถว่างกว่าเดิม
และระบบ Redar Cruise Control ไม่ต้องช่วยชะลอ หรือช่วยเร่งความเร็วให้มากมายเหมือนอย่างในครั้งแรก

พอลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เลี้ยวซ้าย ขับมาตามถนนพหลโยธิน สบายๆ โล่งๆ เลี้ยวกลับมาเติมน้ำมัน
เบนซิน มาตรฐาน Techron 95 ที่ปั้ม Caltex แห่งเดิม ณ หัวจ่ายเดิม และเติมแค่ หัวจ่ายตัดเหมือนกับตอนเริ่มต้น

 

คราวนี้ ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด หายไปแค่ 100 เมตร เมื่ออ่านจาก Trip Meter จะพบว่า
ระยะทางที่แล่นไปทั้งหมด บน Trip Meter 92.1 กิโลเมตร

 

ปริมาณน้ำมันเติมกลับ คราวนี้น้อยลงกว่าเดิม 0.4 ลิตรโดยประมาณ เหลือ 7.37 ลิตร

 

ดังนั้น ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยคราวนี้ จึงออกมาอยู่ที่ 12.48 กิโลเมตร/ลิตร

เมื่อเทียบตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกับคู่แข่งแล้ว..ทำใจได้เลยครับว่า S60 ใหม่ ทำตัวเลขออกมา
ด้อยกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน…และในเกมประหยัดน้ำมันนี้ Mercedes-Benz C-Class ใหม่ คว้าถ้วยไป
ครอบครอง อย่างสบายใจเฉิบ ทั้งรุ่น ดีเซล และเบนซิน เลยคราวนี้ แถมยังทำตัวเลข ด้อยกว่า S60
รุ่นก่อน ทั้ง 2 เครื่องยนต์ อย่างชัดเจน ซึ่งก็คงต้องโทษน้ำหนักตัวรถกันนั่นละ ไม่ต้องมองอื่นไกล
แต่ ความแตกต่าง จากตัวเลขที่เห็นนี้ จริงๆแล้ว มันต่างกันมากน้อยแค่ไหนกันละเนี่ย?

พอถึงวันที่ส่งคืนรถ ผมคุยกับพี่ตุ้ม ฉันทนา บอสใหญ่ของ Volvo Cars Thailand ว่า
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ด้อยกว่า Mercedes-Benz กับ BMW อยู่ ตามตัวเลขในตาราง….

พี่ตุ้ม เกิดสงสัย เอาวะ! ยกเครื่องคิดเลข มานั่งคำนวนให้ดูกันสดๆเลยดีกว่า ว่า ส่วนต่างค่าน้ำมัน
เมื่อตีประมาณคร่าวๆ ว่า ลิตรละ 35 บาท ขับไปเชียงใหม่ ส่วนต่างของ S60 กับ C-Class W204
จะอยู่ที่เท่าไหร่…

พอได้คำตอบปุ๊บ พี่ตุ้ม ก็โพล่งอกมาซะดังจนผมตกใจเลยว่า “ต่างกัน 500 กว่าบาทเอง ป้าดโธ่!”

อึ้มมมมมมมม เนาะ…พี่ตุ้ม เล่นอย่างนี้เลยเนาะครับ….เหอๆๆ

 

********** สรุป **********
รถนำเข้า ราคาเท่ารถประกอบใน ซุกซนขึ้น เบาขึ้น คล่องขึ้น เบรกเองได้ แต่ความแรงและประหยัด ก็พอกันกับรุ่นก่อนนั่นละ!

ทุกครั้งที่จะต้องเอารถไปคืน ทาง Volvo ที่สำนักงานใหญ่  แถวๆ คลองตัน ผมแทบอยากจะใช้เวลา นั่งอยู่ในรถ
นานต่อเนื่องกันไปอีกสักนิด ก่อนจะเปิดประตู ก้าวออกจากรถ ล็อกประตู แล้วเอามือลูบไปทีรถสักสองสามที
เหมือนเป็นการขอบคุณ ก่อนลาจากกัน เพื่อเดินเอากุญแจไปคืน…

มันเป็น อารมณ์แบบเด็กๆ ที่ชอบเก็บเนื้อหมูชิ้นโปรด เอาไว้ในจาน เพื่อที่จะตักเข้าปากเป็นคำสุดท้าย นั่นละครับ

เพียงแต่ S60 คันนี้ ผมสัมผัสได้ว่า มีบางอย่างที่เปลี่ยนไป….แปลกไปจาก Volvo คันอื่น นิดหน่อย

S60 คันนี้ ยังคงเนื้อแท้ความเป็น Volvo ในแบบที่น่าประทับใจ ยังคงเป็น Volvo ที่ขึ้นไปนั่งแล้ว สบาย อุ่นใจ
มั่นใจ ปลอดภัย และใช้วัสดุดีสมราคา ตามแบบฉบับ Scandinavian Design ของ Volvo ในยุค 10 ปีมานี้ ทุกประการ
ไม่มีผิดเพี้่ยน เครื่องเสียงก็ดี แอร์ก็เย็น (แม้ว่าจะเย็นช้าไม่ทันใจ The Coup Team ของเราไปสักหน่อยก็ตามเถอะ)
เบาะนั่งสบาย ไม่ปวดหลัง พละกำลัง ที่ทำได้ ก็ถือว่า ดี ไม่เลวร้าย แม้จะด้อยกว่าคู่แข่งเขานิดหน่อยก็ตาม แต่ผม
ก็มองว่าเพียงพอแล้ว

อีกทั้งยังคงเป็นรถที่คุณมั่นใจได้ว่า ชนยังไง ชนกับใคร โอกาสรอดจะเยอะกว่าชาวบ้านเขา แถมคราวนี้ ยังมีระบบ
ช่วยเบรก ทั้งเมื่อมีคนเดินข้ามถนนตัดหน้า และช่วยชะลอ เมื่อมีสิ่งกีดขวาง ลดการสูญเสียลงได้พอสมควร

เพียงแต่ คราวนี้ Volvo พยายามบอกว่า รถคันนี้ มันเป็น Naughty Volvo ซึ่งหมายความว่า เป็นรถที่ซุกซนขึ้นกว่า
Volvo รุ่นเดิมๆ ที่เคยมีมา แน่นอนว่าขับสนุกขึ้นกว่าเดิม นิดหน่อย ให้บุคลิก คล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง ในการ
ควบคุมรถได้อยู่ในเกณฑ์เดียวกับที่คุณเคยคาดหวังจากคู่แข่งอย่าง Mercedes-Benz C-Class W204 และ BMW
3-Series ช่วงล่างก็ตอบสนองได้ดี ในทุกย่านความเร็ว และทุกรูปแบบพื้นผิวถนน ระบบห้ามล้อ ก็หน่วงความเร็ว
ได้ดีมากๆ และยังคงน่าชื่นชมเหมือนเดิม

อย่างไรก็ตาท แม้ Volvo บอกว่า S60 ใหม่ จะ”ซนขึ้น” แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะซุกซน จนชวนให้คุณ
สนุกไปกับการขับขี่ มากเท่าที่ BMW 3-Series เขาให้มาแต่ประการใด และผมก็มองว่า Volvo เองก็
ไม่มีความจำเป็นจะต้องไปทำรถให้ขับสนุก เท่ากับ 3-Series เปี๊ยบ เพราะนั่น จะทำให้ Volvo หลุด
ออกจากความเป็น Volvo จนเกินไป ส่วนตัวผมเห็นว่า แนวทางที่ Volvo กำลังทำอยู่นี้ ดีอยู่แล้ว
กำลังดี ไม่มาก ไม่น้อยเกินไป เพราะถ้าคาดหวังให้ Volvo ขับสนุกเท่า 3-Series ไปเลยนั้น ผมว่า
เดินเข้าโชว์รูม BMW แล้ว ถอย 320d ออกมาเลย ง่ายกว่านะนั่น

เมื่อลงจากรถ ผมได้ข้อสรุปเป็นการส่วนตัวว่า S60 เป็น “มัชชิมาปฏิปทา” หรือทางสายกลาง สำหรับใครที่อยากได้
รถขับสบาย นั่งสบาย อย่างที่ Mercedes-Benz C-Class W204 มีให้ แต่ยังต้องการความสนุกถึงใจ ขณะขับขี่อย่างที่
BMW 320d เขามีให้
S60 ใหม่ แทรกตัวอยู่ตรงกลางระหว่าง รถทั้ง 2 รุ่นนี้ ได้อย่างเหมาะสม คือไม่ผลักดันตัวเอง
จนเป็น Mercedes-Benz หรือ BMW ฝั่งใดฝั่งหนึ่งมากเกินไป ยังคงเต็มเปี่ยมด้วย บุคลิกความเป็น Volvo เพียงแต่ว่า
ซนขึ้น ค่อนไปทาง 3-Series หน่อยๆ แบบไม่เต็มเหนี่ยวนัก 

แถมยังตั้งราคา 2.99 ล้านบาท เท่ารถประกอบในประเทศทั้ง 2 รุ่น ทั้งที่เป็นรถนำเข้าจากโรงงาน Ghent ในเบลเยี่ยม ทำได้ไงเนี่ย?

ข้อที่ควรปรับปรุง?

สิ่งที่ผมนึกออกในตอนนี้ เห็นจะเป็นเรื่องของ เครื่องยนต์ แม้ว่า จะทำเครื่องยนต์ 4 สูบ ให้แรง และกินน้ำมัน
เท่ากันกับเครื่อง 5 สูบ 2.3 ลิตรเดิม แต่สิ่งที่ผมอยากจะเห็นก็คือ อัตราเร่งที่ดีกว่านี้อีกนิดหน่อย และความประหยัด
น้ำมันเชื้อเพลิง ที่ทำได้ดีกว่านี้อีกนิด หรือถ้ามันยากนัก ก็เอาเครื่องยนต์ Diesel Commonrail Turbo ในรุ่น D5
เข้ามาขายให้รู้แล้วรู้แรดกันไปเลย ผมเชื่อว่า อัตราเร่งจากช่วงออกตัว และเร่งแซงของเครื่องยนต์ D5 น่าจะช่วย
เพิ่มความซุกซน จนหลายๆคนจะชื่นชอบและตกหลุมรักได้ไม่ยากนัก (ถ้าไม่คิดถึงค่าใช้จ่ายตอนซ่อมบำรุงนะ)

ขณะเดียวกัน มีเรื่องน่าแปลกนิดหน่อย ตรงที่ หากเทียบกับรถรุ่นเดิมแล้ว ในช่วงความเร็วสูงๆ แม้ว่ารถจะยังนิ่ง
พุ่งตรงไปข้างหน้าสบายๆ แต่ สัมผัสได้เลยว่า น้ำหนักที่กดลงบนพื้นถนน มันเบากว่ารถรุ่นก่อนอยู่นิดหน่อย
สำหรับคนที่ขับรถไม่เกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง อยู่แล้ว นี่คือเรื่องที่คุณ ไม่ต้องไปกังวลเลยครับ เพราะประเด็นนี้
จะไม่ใช่ปัญหาแต่ประการใด แต่ถ้าคุณชอบขับรถเร็วกว่าระดับดังกล่าว อยู่บ่อยๆแล้วละก็ ต้องเรียนตามตรงว่า
ถึงแม้ S60 ใหม่ จะให้ความมั่นใจกว่า C-Class W204 อยู่นิดนึง ในระดับความเร็วเดิยวกัน แต่ต้องยอมรับความจริง
ว่า ยังไม่อาจเทียบชั้นได้กับ 320d รุ่นปัจจุบันได้ ขาดเพียงแค่ทำอย่างไร ให้มี Downforce ที่ด้านหน้ารถดีขึ้นอีก
นิดนึง ผมเชื่อว่า ความมั่นใจก็จะกลับคืนมา…

และหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้แรงกดด้านหน้า มันเยอะขึ้น..ก็คือ การเพิ่มลิ้นแอโรพาร์ต ด้านใต้เปลือกกันชนหน้า
เข้าไปอีกนิดนึง…จะได้ผลหรือไม่ ยังไม่ทราบ แต่น่าลองทำดู

อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ รถยนต์ในระดับนี้ ควรมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System มาให้จากโรงงาน
ได้แล้ว แต่ในเมื่อ รู้อยู่ว่า มันอาจทำให้ราคาขายปลีกของตัวรถแพงขึ้นพอสมควร ดังนั้น เก็บเอามุขนี้ ไว้ใส่ใน
รุ่นประอบในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมอีก 1 ปีเต็มนับจากวันเปิดตัว เป็นอย่างเร็วที่สุด

 

แล้วคู่แข่งในตลาดละ?

มีเพียง 3 รุ่นที่เรียกได้ว่า S60 สามารถ ก้าวขึ้นไป ฟัดกับพวกเขาได้ ตรงรุ่น เทียบศักดิ์ศรี ทาบรัศมี เท่ากันพอดีๆ
ซึ่งก็อยู่ในกลุ่มพิกัด Premium Compact Sedan ด้วยกันทั้งสิ้น

– Mercedes-Benz C-Class C250 CGI และ C 250 CDI หากวัดกันที่สมรรถนะของเครื่องยนต์ เบนซิน เพียงอย่างเดียว
งานนี้ รถยนต์ค่ายตราดาว เอาถ้วยชนะเลิศไปครอง แบบไม่ต้องคิดมาก ทั้งในด้านพละกำลัง ความต่อเนื่องในช่วง
รอบกลางๆ จนถึงรอบสูงๆ รวมทั้งความประหยัดน้ำมัน ที่ แทบไม่อยากจะเชื่อว่า มาจากเครื่องยนต์ 1.8 ลิตร สหกรณ์
หน้าตาโบราณ ซึ่งทีมวิศวกรชาวชตุทการ์ท นำไปปรับปรุงใหม่เสียจนเอี่อมอ่องไฉไลนั้น กระชากใจเราไปได้เยอะมาก
เพียงแต่ วัสดุในห้องโดยสาร และการออกแบบ อุปกรณ์ต่างๆ ยังไม่อาจทำได้ดีเท่ากับที่เครื่องยนต์บล็อกใหม่ เขาให้
กับเรา กว่าจะรอให้รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ พร้อมแผงหน้าปัดยกใหม่ทั้งชุด จะมาถึงเมืองไทย อาจต้องรอกันถึง
2011 – 2012

– BMW 320d จริงอยู่ว่า เราควรนำเครื่องยนต์เบนซิน ในรุ่น 320i มาเปรียบเทียบด้วย จะดูเหมาะสมกว่า
แต่ในความเป็นจริง เวลานี้ BMW Thailand ก็เลิกขาย 320i ไปแล้ว อีกทั้ง สมรรถนะ และพละกำลังของ
320d นั้น ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดกลุ่มนี้ ได้อย่างไม่ด้อยไปกว่าใคร แถมยังจะเหนือกว่าในด้านอัตรา
สิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (วิ่ง 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ นั่ง 2 คน มี 16.4 กิโลเมตร/ลิตร) แต่จะว่าไป รถรุ่น
ต่อไป ก็ใกล้จะคลอดในตลาดโลกช่วงปีหน้านี้แล้วละ….กระนั้น ประกัน BSI ตลอด 5 ปี ก็ช่างยั่วใจไม่เบา

– Volkswagen Passat CC ข่าวร้ายนิดหน่อยคือ รถรุ่นนี้ เรายังไม่เคยได้ทดลองขับ จึงยังไม่อาจบอกได้ว่า
การที่ รถใหญ่ในพิกัดนี้ วางเครื่องยนต์ เดียวกับ Golf GTi อันสุดแสนจะโปรดปรานของ The Coup Team
ของเรา จะยังให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจเหมือนกับที่ ยานแม่คันสีแดง เคยฝากรอยจุมพิศ เอาไว้ ตรึงจิตส่วนลึก
ของผม หรือเปล่า? อีกทั้งรุ่นปรับโฉม ไมเนอร์เชนจ์ ก็เพิ่งเผยโฉม ในตลาดยุโรป ไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
เราจึงยังไม่แน่ใจว่า ไทยยานยนตร์ จะสั่งเข้ามาขายด้วยหรือไม่?

ดังนั้น ถ้าคุณยังนึกไม่ออก ว่าจะเลือกซื้อคันไหนดี..คำแนะนำจากผมก็คือ

ก่อนอื่น เดินเข้าโชว์รูม Mercedes-Benz ไปทดลองขับ C-Class กันก่อน จดจำบุคลิก
ของตัวรถ ที่คุณได้สัมผัสเอาไว้ ทั้งอัตราเร่ง การเบรก การตอบสนองของพวงมาลัย
รวมทั้งตำแหน่งเบาะนั่ง แล้วถามตัวเองว่าชอบหรือไม่ ถ้าชอบ ก็จองไปเลย อย่ามองคันอื่น

แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ ให้เดินเข้าโชว์รูม BMW หรือไม่ก็โทรเรียกพนักงานขาย ให้หา 320d มาให้คุณ
ได้ลองขับกันที่บ้าน ขับให้นานที่สุดเท่าที่พอจะทำได้ และควรวิ่งบนถนนวงแหวน สักพักใหญ่
รวมทั้งวิ่งเข้าตรอกซอกซอย ถ้าคิดว่า ชอบคันไหนมากกว่า ก็เลือกคันนั้น…

แต่ถ้ายังไม่เจอจุดที่ลงตัวพอดี ในรถทั้ง 2 คันนั้นละ? ทีนี้แหละ คุณก็ควรจะเดินเข้าโชว์รูม
Volvo ทั้ง 11 แห่ง แล้วหาโอกาสลองขับ S60 ให้ได้ ในแบบเดียวกับที่คุณได้ขับรถ 2 คัน
ข้างบนนี้  

พยายามเรียงลำดับการทดลองขับให้ได้ตามนี้ และขอแนะนำว่า ให้เก็บ Volvo เอาไว้เป็
รายการทดลองขับ คันสุดท้าย จากทั้งหมด 3 คันนี้ เพราะเมื่อจบการลองขับทั้ง 3 คันแล้ว
เดี๋ยวคุณก็จะนึกออกเองแหละครับว่า ท้ายสุดแล้ว คุณควรจะเลือกใคร มาอยู่ในโรงรถที่บ้านคุณ

มันไม่ยากหรอกครับ ลองดูสิ!
—————————————–///—————————————

 

ขอขอบคุณ
คุณ ฉันทนา วัฒนารมย์ (พี่ตุ้ม)
และ คุณ ณัฎฐา จิตราคม (พี่ต่าย)

บริษัท Volvo Cars (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

บทความรีวิวรถยนต์ ในกลุ่ม Premium Compact อันเป็นคู่แข่งในพิกัดเดียวกันกับ S60 คลิกอ่านได้ ที่นี่

อ้อ ฝาก The Coup Channel ตอนใหม่ด้วยนะครับ
BnN & Toyd พาคุณไปลองระบบ City Safety และ Pedestrian Safety ของ S60 ใหม่กันครับ
คลิกเข้าไปดูได้ ที่นี่

J!MMY
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ในเมืองไทย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย และภาพคอมพิวเตอร์กราฟฟิค ทั้งหมด เป็นของ
Volvo Cars Corporation ประเทศสวีเดน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com
5 พฤศจิกายน 2010

Copyright (c) 2010 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com
November 5th,2010

แสดงความคิดเห็น เชิญได้ คลิกที่นี่