สถานการณ์ของรถยนต์นั่งแบรนด์ Alfa Romeo ค่อนข้างจะสวนทางกับรถยนต์สปอร์ตของตนเองเล็กน้อย
เพราะในขณะที่ 4C และ 8C Competizione ได้รับคำชมและยอดสั่งผลิตที่น่าพอใจ แต่กับ MiTo, Giulietta
กลับมียอดขายแบบพอไปได้ ยังไม่นับรวม 159 ที่ยุติบทบาทไปพักใหญ่แล้ว และต้องรอผู้สานต่อตำแหน่งใหม่
ในชื่อ Giulia ที่มีข่าวการเปิดตัวเลื่อนแล้วเลื่อนอีกมานานนับปี

alt

Alfa Romeo จึงตัดสินใจเพิ่มความสดใหม่ให้กับน้องเล็กอย่าง MiTo ที่เริ่มขาดความสดใหม่ โดยเฉพาะเมื่อ
บรรดาคู่แข่งต่างตบเท้าเปิดตัวโฉมใหม่มากมาย งานนี้ Alfa Romeo ถึงขั้นตัดสินใจปัดฝุ่นชื่อต่อท้ายรถยนต์
คูเป้รุ่นดังในอดีตอย่างชื่อ ‘Junior’ กลับมาอีกครั้ง หวังดึงความขลังให้ช่วยเพิ่มความน่าสนใจ
(เสริมเกร็ดความรู้ให้อีกนิดหนึ่งว่า Junior เคยเกือบจะเป็นชื่อทำตลาดของ MiTo มาแล้ว แต่สุดท้าย Alfa Romeo
ตัดสินใจใช้ชื่อ MiTo เพราะไม่อยากให้มีการโยงไปถึงรถยนต์รุ่นอดีตโดยตรง อีกทั้ง MiTo ยังมีความหมายที่สดใหม่กว่า)

ชื่อ ‘Junior’ นั้น ถูกใช้ครั้งแรกกับ Alfa Romeo Giulia GT 1300 Junior ที่ถูกเปิดตัวในปี 1966 และด้วย
ฝีมือการออกแบบของสำนักออกแบบ Bertone ทำให้ดีไซน์ของรถรุ่นนี้โดดเด่นจนกลายเป็นรถรุ่นดังรุ่นหนึ่ง
ของ Alfa Romeo ในชั่วข้ามคืน

เมื่อนำความขลังของชื่อ Junior มาต่อท้าย MiTo แล้ว Alfa Romeo จึงปรับปรุงรูปลักษณ์ของ MiTo ให้มี
ความโดดเด่น ปราดเปรียว แต่ยังคงความเรียบหรูเอาไว้ ด้วยการเปลี่ยนกันชนหลังให้ดูดุดันขึ้นเล็กน้อย
สวมปลอกท่อไอเสียโครเมี่ยม ส่วนด้านหน้านั้น ไม่มีความเปลี่ยน แต่กระจกมองข้างถูกพ่นเป็นสีขาว รวมถึง
ล้ออัลลอยลายซี่ถี่ขนาด 17 นิ้ว ที่ถูกพ่นด้วยสีขาวเช่นเดียวกัน

alt

ภายในห้องโดยสารมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย และยังคงเน้นการใช้โทนสีขาวเช่นกัน ด้วยการเดินด้ายเย็บ
เบาะนั่งทรงสปอร์ตสีขาว ติดตั้งพรมปูพื้นรถพร้อมโลโก้รุ่น ‘Junior’ และมาตรวัดรุ่นพิเศา เปลี่ยนมาใช้กราฟิกสีขาว
ส่วนลูกเล่นความสะดวกสบายก็ครบครัน ตั้งแต่ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน พวงมาลัยสปอร์ตหุ้มหนังแท้
และระบบอินโฟเทนเมนต์ Uconnect

ขุมพลังที่มีให้ติดตั้งนั้น เหมือนกับรุ่นมาตรฐานทุกประการ ทั้งเครื่องยนต์เบนซิน 0.9 ลิตร พร้อมเทอร์โบ TwinAir
105 แรงม้า, เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร 78 แรงม้า, เครื่องยนต์เบนซิน 1.4 ลิตร พร้อมเทอร์โบ MultiAir
140 แรงม้า และเครื่องยนต์ดีเซล 1.3 ลิตร JTDM 85 แรงม้า

alt

งานนี้ต้องดูกันว่า มนต์ขลังของชื่อรุ่นในอดีต จะช่วยกระตุ้นให้ MiTo กลับมาอยู่ในความสนใจของชาวยุโรป
ได้อีกหรือไม่