Mercedes-Benz ในประเทศเยอรมันเตรียมเพิ่มออฟชั่นระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ที่ได้รับการรับรองจาก SAE ทำให้เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายแรกที่ได้รับใบอนุญาตจาก SAE ในระดับสากล ถึงแม้ว่า Honda จะได้นำร่องระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ใน Legend สำหรับตลาดญี่ปุ่นไปก่อนหน้านี้เมื่อปี 2021

นอกจากนี้ Mercedes ยังเตรียมเปิดตัวระบบนี้ที่สหรัฐอเมริกา โดยเริ่มจากรัฐ California และ Nevada ภายในสิ้นปี 2022 ซึ่งจะเป็นรายแรกที่ติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ในสหรัฐอเมริกา

 

หากพิจารณาระบบขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งแบ่งได้ตั้งแต่ระดับ 0-5 ที่ระดับ 0 หมายถึงระบบช่วยเหลือเบื้องต้นอันได้แก่ ระบบเตือนการออกนอกเลนและระบบช่วยเบรกฉุกเฉินด้านหน้า ที่ต้องการการควบคุมจากผู้ขับขี่แบบ 100% อยู่เช่นเคย และในระดับ 5 ที่ไม่ต้องการการควบคุมจากผู้ขับขี่ใดๆ ซึ่งยังไม่มีใช้งานจริงในขณะนี้

ในขณะที่ระดับ 2 และ ระดับ 3 มีความแตกต่างกันพอสมควร ระดับ 2 นั้น หมายถึง ระบบเปลี่ยนเลนโดยอัตโนมัติพร้อมด้วยระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผันในเวลาเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่ายังต้องการความสนใจจากผู้ขับขี่อยู่ตลอดเวลาและการควบคุมจากผู้ขับขี่

ส่วนระดับ 3 ทาง SAE ให้นิยามว่าเป็น Mild self-driving ที่ตัวรถสามารถเคลื่อนที่ภายในการจราจรที่ติดขัดโดยที่ผู้ขับขี่ไม่ต้องควบคุมรถตลอดเวลา แต่ยังคงต้องการการควบคุมจากผู้ขับขี่เมื่อระบบเข้าสู่เงื่อนไขที่ตั้งโปรแกรมไว้ เช่น ที่ความเร็วเกิน 37 ไมล์ต่อชั่วโมง หรือหากสภาพการจราจรไม่เอื้ออำนวย (ขณะที่มีรถฉุกเฉินเคลื่อนที่เข้ามาจากทางด้านหลัง ระบบจะสั่นพวงมาลัยและส่งเสียงเตือนให้ผู้ขับขี่เข้าควบคุมรถโดยทันที)

 

ตัวอย่างของรถยนต์ที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาที่ติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 ได้แก่ Tesla และ ระบบ Super cruise ของ GM ในขณะที่ Mercedes-Benz เตรียมติดตั้งระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ให้กับทั้ง EQS และ S-Class

หลักการทำงานของระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 คือการประมวลผลจากอุปกรณ์รับรู้ทั้งภาพและคลื่นสัญญาณต่างๆ ได้แก่ LIDAR เรดาห์ คลื่นเสียง ultrasound และ กล้องรับภาพ เพื่อสร้างแผนผังในลักษณะ 3 มิติ ที่ตรวจจับวัตถุรอบข้างได้แบบ Real-time ด้วยความแม่นยำสูงในการระบุตำแหน่งที่แน่ชัด ท่ามกลางสภาวะย่ำแย่อย่างเช่น เงามืด หรือ ความสกปรกของเซนเซอร์

 

Mercedes ได้ประสบความสำเร็จในระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 ตั้งแต่ปี 2017 โดนดำเนินการขอใบอนุญาตจนแล้วเสร็จในปี 2019 จนกระทั่งพร้อมติดตั้งในรถยนต์ที่วางจำหน่ายในปี 2022 นี้ ซึ่งจะเริ่มมีให้เลือกติดตั้งเป็นครั้งแรกสำหรับประเทศเยอรมันด้วยราคา 10,000 ยูโร (360,000 บาท) ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ในขณะที่สหรัฐอเมริกาจะเป็นลำดับถัดไปซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการอนุมัติทางกฎหมายอยู่ในขณะนี้

ที่มา: The Drive