ในยุคที่ราคาน้ำมันแพงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหลายคนต่างหาวิธีแก้ปัญหาตามแบบฉบับของตัวเอง บางคนเลือกที่จะไม่ขับรถยนต์ส่วนตัวแล้วหันไปใช้ขนส่งสาธารณะแทน แต่สำหรับหลายคน การไปกระเบียดกระเสียดในกลุ่มคนจำนวนมาก ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลใจในยุค Covid-19 นี้อยู่ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ที่จะใช้รถยนต์ส่วนตัว ก็เลยมองหายานพาหนะที่พอจะช่วยประหยัดค่าน้ำมันลงไปได้ อาทิ รถยนต์ขุมพลัง Hybrid, Plug-in Hybrid ลามไปจนถึงขุมพลังไฟฟ้าล้วน 100% ไร้เครื่องยนต์

ยิ่งช่วงนี้มีโปรโมชั่นสนับสนุนให้เกิดการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า 100% ภายในประเทศ จากหน่วยงานรัฐบาล เริ่มตั้งแต่การมอบเงินสนับสนุนเป็นส่วนลดสำหรับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า 150,000 บาท ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งคันจากต่างประเทศ 40% ตลอดจนการลดภาษีสรรพสามิตจากจาก 8% เหลือ 2% มีผลทำให้รถยนต์ไฟฟ้าที่เคยเปิดตัวไปแล้วในบ้านเราเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ หั่นราคาลดลงเพิ่มขึ้นอีกถึง 240,000 – 250,000 บาท กันเลยทีเดียว เล่นเอาคนเคยคิดจะซื้อรถยนต์บริโภคไฟฟ้ามาใช้ แต่ต้องยอมพับโครงการโยนขับลิ้นชักเอาไว้ก่อน เนื่องจากราคาก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าถึงง่ายนัก ถึงขั้นต้องกลับมาคิดทบทวนดูอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ในฐานะคนที่มีโอกาสใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามาแล้วพอประมาณ และมีแพลนจะซื้อมาใช้งานอย่างจริงจังในเร็วๆ นี้ เรียนตามตรงว่า ข้อจำกัดด้านการใช้งานรถไฟฟ้าในยุคนี้น้อยลงกว่าเมื่อก่อนแล้ว เนื่องจากสถานีชาร์จในเขตเมืองมีแพร่หลายมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เพียงพอต่อจำนวนที่เพิ่มขึ้นของประชากร EV โดยเฉพาะในช่วงเย็นหลังเลิกงาน ในขณะที่โซนต่างจังหวัดก็ยังถือว่าน้อยอยู่ การใช้งานหรือการเดินทางจะต้องมีการวางแผนให้รอบคอบมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันปัญหาไฟในแบตฯ หมดกลางทาง ยังไม่นับปัญหาที่มีโอกาสเกิดขึ้น เช่น แอพพลิเคชั่นของผู้ให้บริการสถานีชาร์จมีปัญหา จองคิวไม่ได้ หรือชาร์จอยู่ดีๆ แล้วเด้งหลุด ไฟไม่เข้า บลาๆๆ ซึ่งแทนที่การใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะมาเป็นหนทางแห่งการ save โลก และ save เงินในกระเป๋า กลับกลายเป็นการสร้างปัญหารุมเร้าในใจแทน

ยังไงก็ลองศึกษาข้อมูลกันดูครับว่า รับได้กับเงื่อนไขการใข้งานที่มากขึ้นหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ไม่ โปรดอดใจรออีกสักหน่อย รอให้โครงสร้างพื้นฐานพร้อมกว่านี้ หรือมีรถยนต์ตัวเลือกในตลาดเพิ่มก็ยังไม่สาย แต่ถ้าหากนอนคิดนั่งคิดมาหลายตลบแล้วว่า ยอมรับได้ ผมจะพาไปทำความรู้จักแบบรวบรัดกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ล่าสุด ที่เตรียมลงสู่สมรภูมิ EV อันเริ่มร้อนระอุในบ้านเราที่เผยข้อมูล Specs / Option เป็นที่เรียบร้อย แต่ยังไม่ประกาศราคา…

ORA Good Cat GT !

ก่อนจะไปรู้จักกับแมวเหมียวขนสีเทาที่เหมือนถูกพ่อแม่แอบเอาไปทำไอไลท์สีแดงคันนี้ ขอเท้าความสั้นๆ เกี่ยวกับ ORA Good Cat ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญของ GWM ประเทศไทย ในการเข้ามาบุกตลาดบ้านเรา เปิดตัวครั้งแรกในช่วงเดือนตุลมคม 2021 โดยเบื้องต้นมีให้เลือก 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น 400 TECH ราคา 989,000 บาท รุ่น 500 PRO ราคา 1,059,000 บาท และรุ่น 500 ULTRA ราคา 1,199,000 บาท ก่อนได้รับเงินส่วนลดสนับสนุนจากรัฐฯ ราคาลดลงรุ่นย่อยละ 150,000 บาท ต่อมาทาง GWM ก็ได้ประกาศราคาอย่างเป็นทางการใหม่ของ Good Cat หลังจากปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ลดลงอีกรุ่นย่อยละประมาณ 79,500 บาท วันที่ 15 มิถุนายน 2022

ราคาอย่างเป็นทางการของ ORA Good Cat ณ วันที่บทความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป มีดังนี้

  • 400 TECH  ราคา 763,000 บาท
  • 500 PRO  ราคา 828,500 บาท
  • 500 ULTRA  ราคา 959,000 บาท

(Great Wall Motor จะทำการยื่นเอกสารเพื่อแสดงความประสงค์ในการเข้าร่วมโครงการและรับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว พร้อมขออนุมัติราคาขายปลีกที่ลดลงอย่างเป็นทางการจากกรมสรรพสามิต หลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว บริษัทฯ จึงจะสามารถจำหน่ายรถยนต์ไนราคาที่ปรับลดลงดังกล่าวได้ และจะดำเนินการส่งมอบรถให้กับลูกค้าในลำดับต่อไป โดยจะใช้ระยะเวลาในการดำเนินการประมาณ 3-4 สัปดาห์)

ล่าสุด GWM ประเทศไทย เดินหน้ารุกหนักเอาจริงกับตลาด EV ในบ้านเราอีกครั้ง ด้วยการนำรุ่นย่อยใหม่อย่าง Good Cat GT เข้ามาเปิดตัวทำตลาดเคียงบ่าเคียงไหลกับ Good Cat รุ่นปกติ เสริมทัพรถยนต์ไฟฟ้า 100% ให้แข็งแกร่งขึ้น เป็นรุ่นอีกหนึ่งรุ่นย่อยของไลน์อัพเหมี่ยมไฟฟ้า ที่ทำมาเอาใจกลุ่มลูกค้าผู้ชาย หรือผู้หญิงที่ชอบความทะมัดทะแมง โดยประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกหลังจากจีนที่ได้สิทธิ์นำ Good Cat GT เข้ามาจำหน่าย อาศัยกระแสตอบรับในช่วงงาน Motor Show 2022 ที่ผ่านมาในการต่อรองกับบริษัทแม่ในจีน

ORA Good Cat GT เป็นรุ่นย่อยใหม่ ที่มีพื้นฐานจากรุ่น 500 ULTRA แต่มีการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติมอุปกรณ์ Option ต่างๆ ดังต่อไปนี้

  • เปลี่ยนมาใช้ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่แรงขึ้น กำลังสูงสุด 171 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร
    • กำลังสูงสุดเพิ่มขึ้น 28 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น 40 นิวตันเมตร
  • เพิ่มโหมดออกตัว Launch Control
  • เปลี่ยนมาใช้กันชนหน้าดีไซน์สปอร์ต วัสดุลายคาร์บอนไฟเบอร์
  • เพิ่มคิ้วซุ้มล้อและสเกิร์ตรอบคัน วัสดุลายคาร์บอนไฟเบอร์
  • เพิ่มสัญลักษณ์ GT บริเวณฝาท้าย
  • เปลี่ยนสปอยเลอร์หลังเป็นดีไซน์ใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ GT 
  • เปลี่ยนมาใช้อัลลอยสีทูโทนลายใหม่ ขนาด 18 นิ้ว
  • พ่นสีคาลิปเปอร์เบรกสีแดง
  • เปลี่ยนการตกแต่งภายในห้องโดยสาร เป็นสีแดงสลับดำ
  • เพิ่มโลโก้ GT บริเวณพนักพิงศีรษะ
  • เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีดำ เดินตะเข็บด้ายสีแดง
  • เปลี่ยนเข็มขัดนิรภัยเป็นสีแดง
  • กระจกบริเวณแผงบังแดดมีขนาดใหญ่ขึ้น มาพร้อมไฟส่องสว่างแบบ LED ทั้ง 2 ฝั่ง
  • เพิ่มระบบปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า
  • เพิ่มระบบนวดและระบายอากาศ สำหรับเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า
  • เพิ่มฝาท้ายเปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบ Handfree

ตัวถังภายนอกดูเหมือนจะเล็กเมื่อดูจากรูป แต่ก็แค่เหมือน เพราะในความเป็นจริง Good Cat นั้น มีขนาดใกล้เคียงกับรถเก๋ง C-Segment ญีปุ่นในหลายมิติ โดยรุ่น GT ซึ่งมีงานออกแบบและการตกแต่งภายนอกต่างจากรุ่นปกติ จะมีขนาดมิติตัวถังภายนอกใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย ดังนี้

  • ความยาว : 4,254 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 19 มิลลิเมตร)
  • ความกว้าง : 1,848 มิลลิเมตร (เพิ่มขึ้น 23 มิลลิเมตร)
  • ความสูง : 1,596 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ : 2,650 มิลลิเมตร
  • ความกว้างล้อคู่หน้า/หลัง : 1,557 / 1,577 มิลลิเมตร
  • ระยะต่ำสุดใต้ท้องรถ : 145 มิลลิเมตร

ครั้งแรกที่ผมเห็นงานออกแบบภายนอกของ Good Cat GT ยอมรับเลยว่า ชอบ ! ไม่น่าเชื่อว่าแค่การเปลี่ยนดีไซน์เปลือกกันชนหน้า เว้าช่องให้อากาศไหลผ่านได้จริง เสริมด้วยคิ้วซุมล้อย สเกิร์ตด้านข้างและหลัง เปลี่ยนดีไซน์สปอยเลอร์หลัง ตลอดจนเปลี่ยนมาใช้ล้ออัลลอย Y-Spoke ตัดกับสีแดงในบางจุด จะสลัดคราบความเป็นแมวเหมียวหน้าตารักเอ็นดู แทรกตัวเข้าใจอยู่ในใจลุกค้าสาวๆ ได้ง่าย เป็นแมวหนุ่มผู้มีหน้าตาทะมัดทะแมงขึ้นกว่าเดิมพอสมควร

คนรอบข้างผมหลายคนที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเหลียวแลรถรุ่นนี้ จู่ๆ ชมว่าสวย แม้พัฒนาการของดีไซน์ในคราวนี้จะไม่ได้มีผลทำให้คนเหล่านั้นเปลี่ยนใจจากรถนำ้มันมาใช้รถไฟฟ้า หรือเปลี่ยนใจจากรถไฟฟ้ารุ่นอื่น มาหา Good Cat แต่ถ้าโจทย์ของ GWM ครั้งนี้คือการทำให้ Good Cat เข้าไปครองพื้นที่ในใจลูกค้าผู้ชายหรือผู้หญิงที่ไม่นิยมความหวานได้มากขึ้น ผมถือว่าประสบความสำเร็จและมาถูกทางแล้ว

หากจะปรับปรุงอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ ผมว่าควรจะมีสีตัวถังภายนอกให้เลือกมากกว่าแค่สีเทานม Aqua Grey ที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ ดีไซน์ภายนอกของรุ่น GT ไม่เหมาะกับสีพิเศษอย่างสีเขียวแมลงทับ (Verdant Green) หรือสีเบจ (Hazel Wood Beige) ก็จริง แต่ถ้าเป็นสีขาวหรือดำ คงจะหล่อเท่ไม่เบา

การลุกเข้า-ออกภายในห้องโดย ยังคงทำได้ดีเหมือนรุ่นปกติ ช่องบานประตู่คู่หน้าและหลังมีขนาดใหญ่ พื้นที่ภายในห้องโดยสารยังคงความโอ่อ่าเหมือนรุ่นปกติ เบาะนั่งทุกตำแหน่งมาพร้อมวัสดุหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์สีดำ เปลี่ยนจากลายข้ามหลามตัดในรุ่นปกติมาเป็นลายทาง เติมความเผ็ดด้วยปีกเบาะนั่งสีแดงและสายเข็มขัดนิรภัยสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GT เบาะบริเวณพนักพิงศีรษะ ฟองน้ำที่นำมาใช้กับเบาะนั่งทุกตำแหน่ง ยังคงความนุ่มเอาไว้เช่นเคย

นอกจากนี้ เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้า (ข้างคนขับ) ยังเปลี่ยนจากการปรับด้วยคันโยกที่ติดตั้งบริเวณข้างเบาะ ได้ 4 ทิศทาง เป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง พร้อมกับเพิ่มระบบนวดไฟฟ้ามาให้ทั้ง 2 ฝั่ง จากเดิมที่มีแค่ฝั่งคนนั่งเท่านั้น ในขณะที่ระบบถอยเบาะนั่งอัตโนมัติ Welcome Seat และระบบจดจำตำแหน่งเบาะนั่ง + กระจกมองข้าง Memory Seat ยังคงสงวนให้เฉพาะฝั่งคนขับเหมือนเดิม และการใช้งานก็ยังคงต้องเข้าไปปรับตั้งบนหน้าจอกลาง ซึ่งก็ยุ่งยากพอๆ กับรุ่นปกตินั่นแหละครับ

ในภาพรวมยังคงไว้ทั้งคุณงามความดีของ Good Cat ในด้านพื้นที่ภายในกว้าง โปร่ง เบาะนุ่มสบาย และยังคงมีส่วนที่อยากให้ปรับปรุง นั่นก็คือ การติดตั้งตำแหน่งเบาะนั่งคู่หน้าที่อยู่ชิดกับแป้นคันเร่งและแป้นเบรกมากเกินไป ทำให้ต้องนั่งงอเข่ามากกว่าปกติ แถมแป้นเบรกยังยกสูงขึ้นมาจากแป้นคันเร่งอยู่พอสมควรอีกด้วย ถ้าในอนาคตสามารถปรับแก้คอพวงมาลัยให้ปรับระยะใกล้-ห่างจากลำตัวผู้ขับขี่ (Telescopic) ได้ น่าจะช่วยให้การนั่งขับสบายและผ่อนคลายขึ้น

เมื่อหันไปมองเพดานหลังคาที่บุด้วยวัสดุสีเบจ ช่วยให้ภายในห้องโดยสารดูโปร่งโล่งขึ้นอีกนิด คุณจะยังไม่พบกับความแตกต่าง จนกระทั่งดึงม่านบังแดดทั้ง 2 ฝั่ง ลงมาใช้งาน โดยกระจกแต่งหน้าที่มีให้อยู่แล้วในรุ่ปกตินั้น พอเป็นรุ่น GT จะมีขนาดใหญ่ขึ้น แถมยังเพิ่มไฟส่องสว่างแบบ LED ล้อมกรอบกระจกอีกที พร้อมฝาปิดที่ออกแบบให้เป็นรูปอุ้งเท้าแมวบริเวณตัวล็อกแบบแม่เหล็ก เป็นการซ่อนความน่ารักตะมุตะมิเอาไว้ภายใต้ความซิ่งได้อย่างแนบเนียนทีเดียว ฮ่าๆ

ถัดลงมาด้านล่าง แผงแดชบอร์ดด้านหน้ามีดีไซน์เรียบง่ายเหมือนรุ่นปกติ แต่เปลี่ยนโทนสีการตกแต่งเป็นดำสลับแดง ติดตั้งหน้าหน้าจอชุดมาตร ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งมีฟังก์ชั่นการทำงานเหมือนรุนปกติไม่มีผิดเพี้ยน พร้อมหน้าจอความบันเทิงที่เชื่อมติดกัน ขนาด 10.25 นิ้ว ทำหน้าที่เป็นศูนย์รวมสารพัดฟังก์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ การเปิดใช้งาน Wireless Charger ระบบความจำตำแหน่งเบาะนั่ง เบาะนวดไฟฟ้า ไปจนถึงการตั้งค่ารถยนต์ อาทิ น้ำหนักพวงมาลัย ระดับการกู้คืนพลังงานเข้าสู่แบตฯ Regenerative หรือแม้กระทั่งการเปิด-ปิดการทำงานของคันเร่งอัจฉริยะ One-pedal ซึ่งผมมองว่าค่อนห่างไกลจากคำว่า User-freindly และมีความซับซ้อนพอสมควรในการใช้งาน

สวิตช์เปิด-ปิด Traction Control ที่เคยติดตั้งมาให้บริเวณเหนือหัวเข่าฝั่งขวาคนขับ ใกล้กับสวิตช์ตัดการทำงานของระบบไฟฟ้า ถูกถอดทิ้งไป แทนที่ด้วยสวิตช์เปิด-ปิดฝาท้ายไฟฟ้าจากภายในตัวรถ ดูเหมือนเป็นการแก้ปัญหาโดยใช้วิธีง่ายๆ และหลายคนอาจจะบ่น ทว่าหากมองในแง่การใช้งานจริงทั่วไป จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะต้องเอื้อมมือไปปิดระบบป้องกันล้อหมุนฟรี

ฝาท้ายของ Good Cat GT ถูกค้ำยันด้วยช็อกอัพควบคุมการเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า เมื่อพกกุญแจรีโมทอยู่กับตัว แล้วเดินเข้าใกล้รถ สามารถเอื้อมมือไปกดสวิตช์เหนือแผ่นป้ายทะเบียนฝาท้ายจะยกตัวขึ้นให้อัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งเปิดได้จากสวิตช์ที่อยู่ด้านในตัวรถ หรือจะใช้ฟังก์ชั่น Hand-free สอดเท้าเข้าไปใต้กันชนหลัง ในกรณีที่มือทั้ง 2 ข้าง เต็มไปด้วยสัมภาระ ก็ทำได้เช่นเดียวกัน

เมื่อเปิดฝาท้ายขึ้นมา ก็จะพบกับพื้นที่ห้องเก็บสัมภาระด้านท้าย ที่มีขนาด 228 ลิตร เมื่อเบาะหลังอยู่ในตำแหน่งพร้อมนั่ง แต่หากพับพนักพิงหลังลงไป จะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 858 ลิตร เมื่อเทียบกับรถยนต์ C-Segment อย่าง Mazda 3 Fastback ที่มีความจุพื้นที่ด้านหลังในยามปกติอยู่ 358 ลิตร ก็จะพบว่า Good Cat นั้นเล็กกว่าพอสมควร เนื่องจากต้องเสียพื้นที่ให้กับการติดตั้งแบตเตอรี่และอุปกรณ์ส่วนควบต่างๆ รวมทั้งเบาะนั่งที่ถอยร่นมาทางด้านหลัง ตลอดจนโครงสร้างตัวรถที่มีฐานล้อยาวแต่ Overhang สั้น ตามปกติของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่

**********รายละเอียดทางวิศวกรรม / Engineering Details**********

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
Engine & Drivetrain

ขุมพลังขับเคลื่อนของ Good Cat GT เป็นจุดหลักที่มีความแตกต่าง Good Cat รุ่นอื่นๆ

ในขณะที่ Good Cat ไม่ว่าจะเป็นรุ่น 400 TECH, 400 PRO และ 500 ULTRA จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous พละกำลังสูงสุด 143 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตร ส่งกำลังไปสู่ล้อคู่หน้าแบบ Single Speed แต่ Good Cat GT นั้น จะอัพเกรดขึ้นไปใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใหญ่ขึ้น กำลังสูงสุด 171 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.49 ก.ก.-ม.) (กำลังสูงสุด เพิ่มขึ้น 28 แรงม้า แรงบิดสูงสุด เพิ่มขึ้น 40 นิวตันเมตร)

มาพร้อมโหมดการขับขี่มีให้เลือก 5 รูปแบบ เหมือนเดิม ได้แก่

  • STANDARD
  • ECO
  • ECO +
  • SPORT
  • AUTO

เพิ่มเติมโหมดออกตัวแบบ Launch Control ซึ่งมีวิธีการใช้งาน ดังนี้

  • ปิดระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว โดยเข้าไปที่การตั้งค่ารถยนต์ > การควบคุมรถ > ESP Off
  • เปลี่ยนโหมดการขับขี่เป็น SPORT Mode
  • เหยียบเบรกให้สุด จากนั้นเหยียบคันเร่งให้สุด
  • เมื่อหน้าจอแสดงข้อความ “เปิดใช้งานสตาร์ทรถแบบพุ่งตัว” ปล่อยเบรก แล้วออกตัวได้เลย

แบตเตอรี่ของ Good Cat GT เป็นชนิด Lithium Ternary (NMC) ความจุ 63.139 kWh เท่ากันกับรุ่น 500 ULTRA รองรับการอัดประจุด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC สูงสุด 6.6 kW และรองรับการอัดประจุด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC สูงสุด 60 kW ช่องชาร์จไฟฟ้า AC เป็นแบบ Type 2 ส่วน DC เป็นแบบ CCS2

ระยะเวลาในการชาร์จ

  • การชาร์จแบบ Quick Charge ด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC จาก 0 – 80% ใช้เวลาประมาณ 60 นาที
  • การชาร์จแบบ Quick Charge ด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC จาก 30 – 80% ใช้เวลาประมาณ 40 นาที
  • การชาร์จแบบธรรมดาด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC จาก 0 – 100% ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง

นอกจากนี้ แบตเตอรี่ของรุ่น GT ยังมีคุณสมบัติเหมือนแบตเตอรี่ที่ติดตั้งมาให้ใน Good Cat ทุกรุ่นย่อย มีความสามารถในการป้องกันมาตรฐาน IP67 และ IPx9K สามารถป้องกันการแทรกซึมของน้ำลึกสุด 1 เมตร นาน 30 นาที อีกทั้งยังมีระบบตัดการทำงานอัตโนมัติ ภายใน 0.1วินาที หลังเกิดการชน

ระบบบังคับเลี้ยว
Steering Wheel

ระบบบังคับเลี้ยว เป็นแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า EPS (Electronic Power Steering) ปรับน้ำหนักพวงมาลัยได้ 3 ระดับ ได้แก่

  • เบา
  • สบาย
  • Sport

ระบบกันสะเทือน
Suspension

ระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Sturt พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหน้าเป็นแบบคานบิดกึ่งอิสระ Torsion Beam ไม่มีการปรับจูนความแข็งของช็อกอัพ หรือความหนืดของคอยล์สปริง แต่อย่างใด

ล้อและยาง 
Wheel

ล้ออัลลอย มีขนาด 18 นิ้ว รัดด้วยยาง GitiComfort 225 V1 ขนาด 215/50 R18 เท่ากันกับรุ่น 400 PRO และ 500 ULTRA

ระบบห้ามล้อ
Brake 

ระบบห้ามล้อ ด้านหน้าเป็น Disc Brake แบบมีครีบระบายความร้อน ด้านหลังเป็น Disc Brake แบบธรรมดา พ่นคาลิเปอร์เบรกด้วยสีแดงที่ไม่ได้ช่วยให้เบรกดีขึ้น แต่มีคุณค่าทางใจสำหรับลูกค้าบางคน เสริมการทำงานด้วยตัวช่วยพื้นฐาน อันได้แก่ ระบบป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD รวมถึงระบบควบคุมการทรงตัว ESC

นอกจากนี้ ยังมีระบบกู้คืนพลัง (Energy Regeneration) เข้ามาช่วยสร้างแรงหน่วง โดยปกติแรงหน่วงจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่ใช้ และสามารถเข้าไปปรับตั้งค่าได้เองบนหน้าจอกลาง เลือกได้ 3 ระดับ ตั้งแต่ น้อย, มาตรฐาน และมาก หรือจะใช้งานโหมดคันเร่งอัจฉริยะเพื่อสร้างหน่วงสูงสุดต่อเนื่องยาวไปจนถึงจุดนิ่ง แบบเดียวกับ One Pedal ของ Nissan ก็ทำได้เช่นกัน

ระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่
Safety System & Driving Assistance

ด้านระบบความปลอดภัยขั้นสูง และระบบช่วยเหลือการขับขี่ ติดตั้งมาให้ครบ เทียบเท่ารุ่น 500 ULTRA  ดังนี้

  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติที่ความเร็วต่ำ TJA
  • กล้องแสดงภาพรอบทิศทาง 360 องศา
  • ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติบนทางตรง และ ทางแยก AEBI
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า FCW
  • ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง WDS
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW
  • ระบบช่วยรักษารถให้อยู่ในเลน LKA
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LCK
  • ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง CBC
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ในภาวะฉุกเฉิน ELK
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA
  • ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหลัง RWC
  • ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTA
  • ระบบช่วยเบรกเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง RCTB
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า 6 ตำแหน่ง
  • เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหลัง 6 ตำแหน่ง
  • ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ 3 รูปแบบ IAP ได้แก่
    • จอดแบบเข้าช่อง
    • จอดแบบขนานเส้นทางเดินรถ
    • จอดแบบตามแนวเฉียง
  • ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
    • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
    • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง
    • ม่านถุงลมนิรภัย

**********การทดลองขับ / Test Drive**********

ในครั้งนี้ GWM จัดให้สื่อมวลชนได้ลองขับ Good Cat GT แบบ One day trip บนเส้นทางไป – กลับ กรุงเทพฯ – ชลบุรี เริ่มต้นจาก GWM  Att U Bangna ตั้งอยู่ริมถนนบางนา-ตราด ช่วงกิโลเมตรที่ 12 ใช้ทางพิเศษบูรพาวิถี เดินทางไปยังตัวเมืองศรีราชา จ.ชลบุรี แล้ววิ่งกลับมายังจุดหมายปลายทางเดิม

ประการแรกที่หลายคนรวมถึงตัวผมเองอยากรู้มากที่สุดของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแมวเหมียว GT นั่นก็คือ มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังมากขึ้น สามารถทำอัตราเร่งต่างจากรุ่นปกติมากน้อยแค่ไหน… ?

ทันทีที่กระแทกคันเร่งลงไป Good Cat GT ยังคงคาแรคเตอร์ความสุภาพเช่นเดียวกับรุ่นปกติ มีอาการหน่วงของมอเตอร์ในจังหวะแรกก่อนจะพุ่งทะยานออกไป นั่นทำให้การออกตัวจากจุดหยุดนิ่งจนถึงความเร็ว 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไม่ได้สัมผัสถึงความแรงกระชากจากแรงบิดที่เพิ่มขึ้น 40 นิวตันเมตร อย่างที่ใจคิดเอาไว้ในตอนแรก แต่เมื่อความเร็วผ่านพ้นจากช่วง 40 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป รุ่น GT มีแรงดึงและพาคุณทะยานไปข้างหน้าได้ไวกว่ารุ่นปกติชัดเจน

ผมลองจับเวลาคร่าวๆ โดยการกดคันเร่งออกตัวปกติ เนื่องจากไม่มีจังหวะให้ลองใช้โหมด Launch Control มีพี่ Tommy ช่อง Youtube พ่อมดรถยนต์ และน้อง Junior ช่างภาพ นั่งไปด้วยกัน น้ำหนักรวมสัมภาระราวๆ 200 กิโลกรัม มากกว่ามาตรฐานการทดสอบของ Headlightmag ประมาณ 30 กิโลกรัม ได้ผลลัพธ์ออกมาดังนี้

  • อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในโหมด Auto ทำได้ 8.18 วินาที
  • อัตราเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ 5.43 วินาที

หากนำตัวเลขชุดนี้ไปเทียบกับผลทดสอบของ Good Cat รุ่น 500 ULTRA ซึ่งทำโดยพี่ J!MMY และน้อง Mark Pongsawang (อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ Click Here) จะพบว่ารุ่น GT นั้น ทำเวลาได้เร็วขึ้นราว 0.7 วินาที ในเกมออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง และเร็วขึ้นอีกราวๆ 0.5 วินาที ในช่วงเร่งแซงจาก 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง เรียกว่าเร็วแรงขึ้นกว่าเดิมจริง แม้จะบรรทุกน้ำหนักมากกว่าก็ตาม เมื่อเทียบกับคู่แข่งในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% ที่เราเคยนำมาทดสอบ ก็จะพบว่า Good Cat GT แรงแซงหน้า MG ZS EV รุ่นก่อน Minorchange ใกล้เคียงกับทั้ง Nissan Leaf และ Lexus UX 300e แต่ยังไม่กระชากโหดจนบางทียางต้องรอขอชีวิต เหมือนอย่าง Hyundai Kona Electric หรือ KIA Soul EV ในขณะที่ความเร็วสูงสุด Top Speed รุ่นปกติ 500 ULTRA ทำไว้ได้ 158 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนมาตรวัด พอเป็นรุ่น GT คราวนี้วิศวกร GWM ใจดี ขยับขึ้นไปล็อกเอาไว้ที่ 167 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ประการต่อมาคือ Good Cat GT ที่ไม่มีตัวเลข Range นำหน้าชื่อรุ่น แต่ใช้แบตเตอรี่ 62.139 kWh เท่ากับรุ่น 500 ULTRA โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดใหญ่กว่า ส่งผลให้ ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ลดลงจากรุ่น 500 ULTRA หรือไม่… ?

การทดลองขับครั้งนี้ มีหลายองค์ประกอบของตัวรถที่เราต้องล่วงแคะแกะเกาเพื่อคำตอบมาให้คุณผู้อ่านได้ทราบกัน สารภาพตามตรงว่าไม่สามารถลองวัดอัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้า หรือระยะทางวิ่งสูงสุดกันอย่างจริงจัง แต่พอจะบอกได้คร่าวๆ ว่าในช่วงที่ไฟในแบตเตอรี่คงเหลือราวๆ 80% ตัวเลขระยะทางที่วิ่งต่อไปได้บนหน้าจอโชว์อยู่ที่ประมาณ 410 กิโลเมตร เท่ากันทั้งรุ่น GT และรุ่น 500 ULTRA ที่ผมเคยลองขับ นั่นก็พอจะเดาได้ว่าทั้งคู่น่าจะพาคุณเดินทางไปได้ไกลพอกัน

เรื่องนี้ผมลองถามทีมของ GWM เพิ่มเติม ได้คำตอบมาว่า… การวิ่งใช้งานช่วงความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง Good Cat 500 รุ่นปกติ และรุ่น GT ที่วางมอเตอร์ใหญ่กว่า มีอัตราการสิ้นเปลืองไฟฟ้าใกล้กัน โดยรุ่น GT นั้น จะกินไฟมากกว่าและวิ่งได้ระยะสั้นลงชัดเจนกว่า ก็ต่อเมื่อมีการดึงกำลังจากมอเตอร์ออกมาสูงสุด หรือวิ่งที่ความเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง ยาวอย่างต่อเนื่อง

พวงมาลัยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอัตราทด จัดว่าอยู่ในระดับกลางๆ ไม่คม ไม่ไว และเนือย แต่ใช้งานในเมืองยังรู้สึกคล่องตัวอยู่ โหมดปรับน้ำหนักพวงมาลัย 3 ระดับ สัมผัสได้ถึงความต่างจริงๆ ในโหมดเบาคือเบาสบาย ประหนึ่งรถ Eco / B-Segment (ยกเว้น Honda City) ในขณะที่โหมดมาตรฐานจะมีน้ำหนักตึงมือขึ้นมาอีกนิด แต่พอเป็นโหมดสปอร์ตคราวนี้หนืดใกล้เคียงรถ D-Segement ญี่ปุ่น เหมาะมากกับการขับ crusing เดินทางไกลแบบผ่อนคลายสบายอารมณ์

การตอบสนองของช่วงล่างของรุ่น GT เหมือนกันกับรุ่นธรรมดาไม่มีผิดเพี้ยน ในช่วงความเร็วต่ำมีความกระชับ ระยะยุบตัวของช่วงล่างน้อย ดูเหมือนจะเซ็ตมาเอาใจสายขับซิ่ง มุดมั่นใจ แต่พอลองโยกเปลี่ยนเลนกระทันหันที่ความเร็วเดินทาง ช่วงล่างกลับมีอาการยวบยาบพอสมควร มันเหมือนกับช็อกอัพและสปริงมีความหนืดและแข็งพอประมาณ ทำให้การวิ่งตรงๆ นั้น ดูเหมือนจะไม่นุ้ม แต่เหล็กกันโคลงที่ช่วงลดอาการให้ตัวของช่วงล่างในระนาบซ้ายขวายังไม่สามารถรับมือกับแรงเหวี่ยงจากแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างหนักได้อยู่หมัด

ด้านประสิทธิภาพการยึดเกาะ ยางติดรถ Giti Comfort V225 V1 ไซส์ 215/50 R18 พยายามทำหน้าที่ของมันอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่ถึงกับดีนัก การเข้าโค้งใกล้ลิมิตของรถจะเริ่มมีอาการไถลออกนอกโค้งในลักษณะไปพร้อมกันเป็นก้อน สำหรับรถ EV ที่สามารถเรียกแรงบิดมาใช้ได้ไว ผมอยากให้ติดตั้งยางที่มีความกว้างกว่านี้อีกสักหน่อย น่าจะช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยขึ้น ไม่ต้องถึงขั้นขับซิ่งประหนึ่งสวมวิญญาณนักแข่งลงสนามหรอกครับ แค่กดคันเร่งบนพื้นถนนลื่นในวันฝนตกก็ฟรีกระจุยกระจายแล้ว แต่ก็พอเข้าใจว่า ถ้าใส่ยางมากว้างกว่านี้ แรงเสียดทานและน้ำหนักล้อก็จะเยอะตาม ส่งผลให้ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จลดลงไปอีก สำหรับคนที่ใช้ EV ระดับน้ี อาจให้นำหนักกับประเด็นหลังมากกว่า

การหยุดรถหรือชะลอความเร็วในโหมดปกติ การตอบสนองของแป้นเบรก ยังไม่ค่อยต่อเนื่องเป็นธรรมชาติ เหยียบลงไปช่วงแรกเหมือนจะไม่มีแรงหน่วงเกิดขึ้น แต่พอเพิ่มน้ำหนักที่เท้าอีกนิดกลับหน้าทิ่ม แต่ชีวิตจะดีขึ้นทันทีหากคุ้นชินกับคันเร่งแบบ One-pedal นอกจากจะใช้เท้าขวาในการควบคุมความเร็วรถได้โดยไม่ต้องไม่ยุ่งกับแป้นเบรกแล้ว ยังช่วยลดการสึกหรอของผ้าเบรกไปในคราวเดียวกันได้ด้วย

ประเด็นสุดท้ายคือการเก็บเสียง ที่ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนทางด่วนบูรพาวิธีมีเสียงรบกวนดังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ C-Segment ทั่วไปที่มีขนาดและราคาใกล้เคียง Good Cat (ยกเว้น Mazda 3 ซึ่งทำได้ดีเกินหน้าคู่แข่งไปมาก) บริเวณครึ่งท่อนบนของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นเสียงกระแสลมเล็ดลอดเข้ามาทางกรอบประตู เสียงลมปะทะกระจกบังลมหน้า หรือครึ่งท่อนล่างซึ่งเป็นเสียงที่มาจากยางบดกับพื้นถนน ถือว่าอยู่ในระดับปานกลาง ยกเว้นเสียงรบกวนจากด้านหลังที่ดังชัดเจนกว่าจุดอื่น คาดว่าน่าจะมาจากสปอยเลอร์หลังแบบมีช่องให้อากาศไหลผ่าน

**********บทสรุป / Conclusion**********

เพิ่มอ็อพชั่น พร้อมปรับหน้าตาให้ดูทะมัดทะแมง เอาใจกลุ่มลูกค้าผู้ชายมากขึ้น
อัพเกรดมอเตอร์ให้แรงมากขึ้น ในขณะที่การขับขี่ด้านอื่นๆ ยังคงเหมือนรุ่นปกติ 

การปรับลุคภายนอกครั้งนี้ทำให้ ORA Good Cat ที่เคยมีบุคลิกของแมวสาวสายหวาน กลายมาเป็นแมวหนุ่มที่มีหน้าตาภายนอกดูทะมัดทะแมงขึ้น นี่อาจจะเป็นแมวเหมียวไฟฟ้าในเวอร์ชั่นที่ออกแบบมาเอาใจกลุ่มลูกค้าผู้ชาย หรือคุณผู้หญิงสายเปรี้ยว มากขึ้น

ในแง่การขับขี่ มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีตัวเลขแรงม้าและแรงบิดเพิ่มขึ้น 20% ในการขับขี่จริงพบว่าแรงม้าที่เพิ่มขึ้น 28 ตัว แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น 40 นิวตันเมตร ช่วยให้อัตราเร่งทั้งช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง รวมถึงอัตราเร่งแซง แรงทันอกทันใจขึ้นจริง แต่ยังคงบุคลิกการตอบสนองของแป้นคันเร่งอันสุภาพ แรงแบบค่อยๆ ไหลมาเทมา คล้ายรุ่นเดิมอยู่ ในขณะที่การขับขี่ด้านอื่น ไม่ว่าจะเป็น ช่วงล่าง พวงมาลัย เบรก และการเก็บเสียง ยังคงเหมือนกันกับรุ่นปกติแทบทุกประการ

Good Cat GT ยังคงเป็นรถที่มีทั้งข้อดีที่ควรชมเชย และข้อด้อยที่ต้องตำหนิ สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ชอบคือการมีเรี่ยวแรงมากขึ้น ซึ่งช่วยให้การเร่งแซงหรือในจังหวะคับขันปลอดภัยขึ้น ระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จทำได้ค่อนเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาใกล้เคียงกันหรือสูงกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัยขั้นสูงที่มีโอกาสได้ใช้งานบ่อย ตัวอย่างเช่น Blind Spot Detection ก็มี logic ของการเตือนที่ค่อนข้างดี ไม่ค่อยมีอาการเอ๋ออ๊อง หรือขี้ panic จนเกินไป

อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายที่อยากให้มีการปรับปรุงแก้ ไม่ว่าจะ การติดตั้งยางที่มีประสิทธิภาพการยึดเกาะทั้งบนพื้นแห้งและพื้นลื่นดีกว่านี้ ซึ่งจะช่วยให้การขับขี่ในหลายสถานการณ์ปลอดภัยขึ้น การปรับปรุงหน้าจอกลางอันเป็นแหล่งรวมเกือบทุกสิ่งของตัวรถให้มีการตอบสนองรวดเร็วขึ้น จัดวางฟังก์ชั่นต่างๆ ให้สะดวกต่อการใช้งานขึ้น ไม่ใช่แค่นั้น ใบปัดน้ำฝนหลัง ควรติดตั้งมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานได้แล้ว เพราะว่าการขับรถในวันฝนตกที่มีทิศทางวิสัยด้านหลังมืดบอดอย่างที่ผมเจอมาในทริปนี้ บอกได้ว่าเลยโคตะระอันตราย !

นอกเหนือจาก อุปกรณ์ option ที่เพิ่มเข้ามา ตลอดจนรูปร่างหน้าตาและพละกำลังที่ถูกปรับ Good Cat GT ยังคงมีคุณสมบัติด้านอื่นๆ เหมือนกันกับรุ่นปกติ สำหรับใครที่เกิดอาการลังเลใจระหว่างรุ่น GT และ 500 ULTRA ผมคงไม่สามารถฟันธงคุณได้ โปรดจงพิจารณา 3 ด้านหลักของตัวรถที่เปลี่ยนไปกันเอาเองว่า ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้มากขึ้นหรือไม่ ? บางคนอาจมองว่า การมีมอเตอร์ไฟฟ้าที่แรงขึ้น หรือการมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพิ่มเติมเข้ามา ไม่ได้มีความจำเป็นต่อชีวิตพวกเขาขนาดนั้น ในขณะที่อีกหลายแค่เห็นดีไซน์แว๊บแรก ก็พร้อมเซ็นต์ใบจองพร้อมเป็นเจ้าของในทันที

วันที่บทความนี้ถูกเผยแพร่ออกไป สิ่งที่ผมและทุกท่านจะได้ทราบมีเพียงข้อมูลตัวรถ และสมรรถนะการขับขี่เท่านั้น โดยทาง GWM จะประกาศราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการของ Good Cat GT อีกทีในวันที่ 29 มิถุนายน 2022 ตามธรรมเนียมปฏิบัติของบริษัทรถยนต์หลายค่ายในยุคนี้ที่พยายามยืดกระแสความสนใจจากลูกค้าให้ได้นาน หลังจากนั้นจึงจะเปิดรับจองในช่วงแรกแบบจำกัดจำนวน กว่าจะเริ่มส่งมอบได้ก็ต้องรอจนถึงช่วงแรกของไตรมาส 4 หรือต้นเดือนตุลาคม 2022

จากรูปการณ์หลังปรับลดภาษีสรรพสามิตของรถยนต์ไฟฟ้า จาก 8% เหลือ 2% จนทำให้ราคาจำหน่ายของ ORA Good Cat รุ่นปกติ ทั้ง 400 TECH, 500 PRO และ 500 ULTRA ตอนนี้ลดลงมาเหลือ 763,000, 898,500 และ 959,000 บาท ตามลำดับ พอมีความเป็นไปได้ที่ GWM จะตั้งวางราคาจำหน่ายของรุ่น GT ให้ต่ำกว่า หรือข้าม 1 ล้านบาท มานิดหน่อย

หากเป็นเช่นนั้นจริง สำหรับตัวผมถือว่าคุ้ม ! แต่สำหรับคุณจะคุ้มหรือไม่นั้น

ให้ใจของคุณ เป็นคนตอบเอง


ขอขอบคุณ / Special Thanks to :

บริษัท Great Wall Motor ประเทศไทย จำกัด
สำหรับการเชิญทดลองขับ

QCXLOFT (Yutthapichai Phantumas)

สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน 
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย รถยนต์ในประเทศไทย ทั้งหมด
เป็นของ Great Wall Motor ประเทศไทย และผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต 

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.headlightmag.com  

17 มิถุนายน 2022

Copyright (c) 2022 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
 

First published in www.Headlightmag.com.

17 June 2022 


ราคาอย่างเป็นทางการ ORA Good Cat GT : 1,286,000 บาท | มอเตอร์ไฟฟ้า 171 แรงม้า 250 นิวตันเมตร