ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 BMW ได้เริ่มโปรเจครถยนต์ไฟฟ้าตระกูล i เพื่อจำหน่ายอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก โดยเริ่มที่รุ่น i3 ที่เป็นรถ City Car ขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ มาพร้อมงานออกแบบสุดล้ำและมีความเป็นเอกเทศต่างจาก BMW รุ่นอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ล้ออัลลอยวงโตแต่หน้าแคบเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังใช้โครงสร้างตัวถังทำจากอะลูมิเนียมอีกด้วย ในขณะที่ห้องโดยสารทำจากวัสดุ Carbon Fibre-Reinforced Plastic (CFRP) น้ำหนักเบา จนกระทั่งเป็นต้นแบบให้กับ BMW รุ่นอื่นๆ อีกหลายรุ่น

 

ระบบขับเคลื่อน BMW eDrive มอเตอร์ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 170-181 แรงม้า พ่วงกับแบตเตอรี่ Li-Ion ขนาดตั้งแต่ 22-42.2 kWh ที่ในเริ่มต้นสามารถให้ระยะทางต่อ 1 การชาร์จเพียง 128 กิโลเมตร และสามารถเพิ่มระยะทางได้ด้วยเครืองยนต์เบนซินขนาด  0.6 ลิตร กำลังเพียง 34 แรงม้า ที่ยืมมาจากรถ Scooter BMW C650 GT ทำให้ได้ระยะทางเพิ่มขึ้นเป็น 256-288 กิโลเมตร โดยเรียกว่ารุ่น i3s

โจทย์หลักของ i3 คือการเป็นรถ EV ที่ประหยัดพลังงานและเน้นการใช้งานระยะสั้นในเมือง มากกว่าที่จะเป็นรถสำหรับเดินทางไกลข้ามเมือง จึงทำให้มีอัตราสิ้นเปลืองไฟฟ้าเพียง 16.3 – 15.3 kWh/100 km ซึ่งมีเพียง Mini Cooper SE ที่ทำได้ใกล้เคียงที่ 17.6 – 15.2 kWh/100 km

 

ในขณะที่เทคโนโลยีการขับเคลื่อoด้วยไฟฟ้าเดินทางมาถึง เจเนอเรชั่นที่ 5 โดยใช้ BMW I3 เป็นต้นแบบ และนำไปใช้กับ BMW ที่พ่วงขุมพลังไฟฟ้าทุกรุ่นจนปัจจุบัน และอนาคต

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการสิ้นสุดการผลิตของ BMW i3 ของโรงงานเพียงแห่งเดียวที่เมือง Leipzig ประเทศเยอรมนี ด้วยยอดรวมกว่า 250,000 คัน ที่ส่งไปจำหน่ายกว่า 74 ประเทศทั่วโลก ที่ดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ได้ถึง 80% ของยอดขายทั้งหมด และเป็นการรุกตลาดรถ EV แบบที่ไม่มีคู่แข่งโดยตรงร่วม 9 ปี

 

เนื่องในโอกาสการปิดไลน์ i3 ทาง BMW จึงได้นำ i3s มาตกแต่งให้หรูสุดสมศักดิ์ศรีและเรียกรุ่นพิเศษนี้ว่า HomeRun Edition โดยใช้พื้นฐานจากรุ่น i3s มีพละกำลังสูสุด 184 แรงม้า มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว และสีภายนอกให้เลือกสองสี ได้แก่ สีเทาด้าน Frozen Dark Grey และ สีแดงด้าน Frozen Red II และยังอัดแน่นไปด้วยออฟชั่นอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ระบบอุ่นเบาะ ระบบไฟหน้าแบบ Adaptive LED หลังคากระจก พร้อมภายในหุ้มด้วยหนัง Vernasca Dark Truffle คอนโซลหน้าหุ้มด้วยหนัง ไฟ Ambient light และ Welcome light และระบบเครื่องเสียงจาก Harman Kardon

โรงงานที่เมือง Leipzig ประเทศเยอรมนี จะยังเดินสายผลิตชิ้นส่วนระบบขับเคลื่อน eDrive ต่อไป และเตรียมการสำหรับสายพานการผลิต Mini Countryman รุ่นขุมพลังไฟฟ้า 100% แทน

ที่มา: BMW