By Gigabright

ในที่สุดก็ได้เห็นภาพแบบเต็มคันสักทีสำหรับการมาถึงของ Chevrolet Blazer EV รถสปอร์ตอเนกประสงค์(Sport Utility Vehicel: SUV) ที่ทาง Chevrolet ได้เคยประกาศข่าวคราวการมาถึงของเจ้า Blazer EV เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อยไปในงานนิทรรศการผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา วันนี้ก็ได้ปล่อยภาพเต็มมาให้ได้ชมกันในทุกซอกทุกมุกอย่างชัดเจน แถมยังมีข่าวแว่วมาด้วยว่าจะมีการพัฒนาและออกแบบเวอร์ชั่นพิเศษสำหรับใช้เป็นรถตำรวจในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย

 

สำหรับไฮไลท์ของเจ้า Blazer EV ซึ่งเป็นรถพลังงานไฟฟ้า(Electric Vehicle: EV) นั้นคงจะหนีไม่พ้นเรื่องของพละกำลังและสมรรถนะ เพราะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจเป็นลำดับแรกไม้แพ้เรื่องของดีไซน์และราคาเลย ซึ่งทาง Chevrolet ยังไม่ได้แจกแจงมาครบทั้งหมด มีเพียงรุ่นสูงสุดอย่าง SS ที่เปิดเผยออกมาแล้วว่ามอเตอร์ของมันนั้นให้พละกำลังสูงถึง 557 แรงม้า(415 กิโลวัตต์) และแรงบิดที่ 879 นิวตันเมตรซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะที่น่ารักว่า “WOW” (Wide Open Watts) พร้อมจะพาคุณกระโจนไปข้างหน้าสู่ความเร็ว 60 ไมล์/ชั่วโมง(96 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ภายในเวลาไม่ถึง 4 วินาที ส่วนการชาร์จไฟฟ้านั้น Blazer EV ถูกออกมาแบบมาให้รองรับการชาร์จที่กำลังไฟเริ่มต้นที่ 11.5 กิโลวัตต์ ไปจนถึง 190 กิโลวัตต์ สำหรับการชาร์จแบบเร็วด้วยกระแสไฟตรง(DC fast charger) เลยทีเดียว

 

เกรดของ  Blazer EV นั้นเริ่มไปตั้งแต่ 1LT, 2LT, RS และ SS ซึ่งเป็นรุ่นสูงสุดนั่นเอง โดยจุดต่างจะอยู่ที่สามารถสังเกตได้จากการตกแต่งภายนอกเป็นหลัก อย่างเช่นในรุ่น LT ที่จะให้กระจังหน้าแบบสีเดียวกับตัวรถ มาพร้อมกับล้อแม็กขอบ 19” ในขณะที่รุ่น RS จะดุดันยิ่งขึ้นด้วยอานิสงค์จากกระจังหน้าสีดำและล้อแม็กซ์ขนาด 21” และไปจบที่รุ่น SS อันเป็นรุ่นสูงสุดซึ่งให้หลังคาสีดำกับล้อแม็กซ์ขนาด 22”

หากตั้งใจเพ่งและลงรายละเอียดในตัวรถลงไปอีกนิด จะพบว่าในรุ่น RS และ SS นั้นใช้ไฟแบบ LED ซึ่งมีจุดพิเศษอยู่ตรงที่บริเวณโลโก้ที่แปะอยู่บนตัวถังรถ สามารถเรืองแสงขึ้นได้เมื่อผู้ขับขี่เดินเข้าหา-ออกจากตัวรถ และยังมีฟังก์ชั่นการแสดงสถานะการชาร์จไฟผ่านไฟหน้าที่จะมีเส้นไฟวิ่งเป็นจังหวะเพื่อให้รู้ว่ารถกำลังถูกชาร์จไฟฟ้าอยู่ด้วย

 

ภายในของ Blazer EV นั้นมีลูกเล่นให้เลือกเยอะพอตัว โดยแบ่งไปตามสัดส่วนที่มีให้ในแต่ละรุ่นย่อย อย่างรุ่น RS ก็สามารถเลือกได้ว่าจะให้เบาะนั่งเดินเป็นสีแดงหรือน้ำเงินตัดกับสีเส้นด้ายเดินตะเข็บเพิ่มความสปอร์ต หรือจะเป็นรุ่น SS ที่เน้นตกแต่งภายในด้วยโทนสีแดง Adrenaline Red และส้ม Argon Orange มาพร้อมกับพวงมาลัยดีไซน์ตัดตรงบริเวณด้านล่างของวงพวงมาลัย และช่องแอร์ทรงกลมที่ให้อารมณ์ความสปอร์ตและร่วมสมัย อีกทั้งเบาะนั่งยังสามารถปรับแรงลมที่เป่าออกมาได้อีกด้วย

ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องโดยสารนั้น Blazer EV มาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ถึง 17.7 นิ้วตั้งอยู่กลางแผงคอนโซล รองรับการแสดงผลเพื่อความบันเทิงตลอดการเดินทางที่มาพร้อมกับระบบ “GM’s Super Cruise” ที่ทำหน้าที่คอยช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกผู้ขับขี่อยู่ตลอดเวลา แต่ขอบอกเอาไว้ก่อนว่ามันเป็นออพชั่นเฉพาะรุ่นนะครับ และอีกสิ่งหนึ่งที่ Chevrolet Blazer EV มีความแตกต่างจากรถยนต์รุ่นอื่นๆคือ มันไม่มีสวิตช์หรือปุ่มกดเพื่อเริ่มการทำงาน โดยผู้ขับขี่นั้นสามารถเปิดใช้งานและขับขี่ได้โดยการเหยียบแป้นเบรคเพื่อเป็นการเรียกให้รถพร้อมใช้งานและสามารถขับออกไปได้เลย

 

ระบบความปลอดภัยของ Blazer EV ก็นำเอาเทคโนโลยี Chevy Safety Assist ซึ่งอัดแน่นไปด้วยระบบความปลอดภัยที่ถือเป็นออพชั่นพื้นฐานของรถในยุคนี้ไปแล้วมาใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น

  • ระบบเบรคอัตโนมัติ (automatic emergency braking)
  • ระบบป้องกันการชนด้านหน้า (forward collision alert),
  • ระบบตรวจจับวัตถุและคนข้ามถนน(front pedestrian braking)
  • ระบบตรวจจับและเว้นระยะจากรถด้านหน้า (following distance indicator)
  • ระบบเตือนการออกนอกเลน(lane-keep assist with lane departure warning)
  • ระบบเตือนและเบรคอัตโนมัติขณะถอยหลัง(Reverse automatic braking)
  • ระบบช่วยจอด(park assist)

สำหรับการมาถึงอย่างเป็นทางการและจำหน่ายจริง คาดว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อนปี 2023 หรือราวไตรมาสที่ 3 ของปีหน้านั่นเอง โดยราคาน่าจะเริ่มต้นที่ 47,595 ดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 1.75 ล้านบาท) ในรุ่น LT ไปจนถึง 65,995 ดอลล่าร์สหรัฐ (ราว 2.5 ล้านบาท) ในรุ่น SS ส่วนรุ่นที่เป็นเวอร์ชั่นสำหรับรถตำรวจนั้นอาจเปิดตัวให้หลังในช่วงต้นปี 2024 ที่จะมีการปรับเปลี่ยนสเปคให้ต่างไปจากรุ่นปกติเพื่อรองรับการใช้งานอีกขั้น ไม่ว่าจะเป็นขนาดของแบตเตอรี่ การจัดสรรน้ำหนักตัวรถ รวมไปถึงพื้นที่ใช้สอยภายในห้องโดยสารที่จะต้องตอบโจทย์และคล่องตัวสำหรับคุณตำรวจมากยิ่งขึ้น แถมยังสามารถเลือกได้ด้วยว่าจะขับขี่แบบ 2 หรือ 4 ล้อ

เรียกว่าออพชั่นจัดเต็มมาจนผู้รายอาจจะต้องคิดให้ดีๆก่อนจะตอกคันเร่งหลบหนีกันเลยทีเดียวหากกำลังจะถูกตำรวจไล่กวดด้วยเจ้า SUV พลังถ่านจอมโหดรุ่นนี้

ที่มา: Motor1