นับว่าทรงคุณค่าแก่การรอคอยกับรถอเนกประสงค์จากค่ายม้าลำพอง ที่ตัดสินใจออกแบบและผลิตรถสปอร์ต 4 ที่นั่งแบบยกสูงเป็นครั้งแรกในรอบประวัติศาสตร์กว่า 75 ปี โดย Ferrari เลี่ยงที่จะเรียกว่าเป็นรถ SUV เนื่องจากเป็นการสร้างโครงสร้างตัวถัง ที่รองรับ 4 ที่นั่งอย่างแท้จริง โดยไม่ทิ้งกลิ่นอายสมรรถนะของรถจากค่ายเดียวกัน

มีความโดดเด่นด้วยประตูคู่หลังที่เปิดด้วยระบบไฟฟ้าแบบ Suicide door พร้อมเส้นสายจากรุ่น Roma 296 812 และ SF90 ผสมผสานเข้าด้วยกัน ทำให้มีความโดดเด่นกว่ารถสปอร์ตยกสูงทั่วไป โดยเฉพาะคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง Lamborghini Urus เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อการขับขี่มากกว่าการมีพื้นที่ห้องโดยสาร ตามความต้องการของลูกค้าทั่วไป

 

ถึงแม้ทางค่ายม้าลำพองจะไม่ได้เปิดเผยตัวเลขค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทานอย่างเป็นทางการ แต่ด้วยเส้นสายที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็สามารถบอกได้ว่า เจ้ารถสปอร์ตรุ่นล่าสุดของค่ายคันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อความเร็วโดยเฉพาะ ตามสไตล์รถ GT อย่างแท้จริง โดยเฉพาะการกระจายน้ำหนักหน้าหลังแม้อัตราส่วน 49 ต่อ 51 เนื่องจากใช้หลังคาและโครงสร้างตัวถังน้ำหนักเบาจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์

 

มีงานออกแบบกลไกเปิดประตูคู่หลังที่เป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว สำหรับรถสปอร์ตยกสูง โดยสามารถเปิดได้กว้างถึง 79 องศา ทำให้การเข้าออกตัวรถเป็นไปอย่างง่ายดายที่เบาะผู้โดยสารด้านหลัง ถึงแม้ว่าผู้โดยสารจะมีความสูงถึง 6 ฟุต ก็ตาม พร้อมพื้นที่วางขาและบริเวณหลังคาที่ใกล้เคียงกับบอกคู่หน้า

 

มิติตัวถัง:

  • ความยาว: 4,973 มม.
  • ความกว้าง: 2,028 มม.
  • ความสูง: 1,589 มม.
  • ฐานล้อ: 3,018 มม.
  • ความจุห้องสัมภาระ: 473 ลิตร
  • ความจุถังน้ำมัน: 100 ลิตร

 

ภายในมาพร้อมบอกรูปทรง Bucket Seat 4 ที่นั่ง ปรับด้วยไฟฟ้าเต็มระบบ แตกต่างจากคู่แข่ง โดยสิ่งที่เห็นเด่นชัดเมื่อเข้าสู่ห้องโดยสาร คือการออกแบบจอแสดงผลข้อมูลสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมช่องแอร์และคอนโซลที่ให้ความสำคัญไม่แพ้ผู้ขับขี่ หลังคากระจกที่สามารถปรับความเข้มแสงได้ตามต้องการหรืออัตโนมัติ

อีกทั้งยังติดตั้งช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง พร้อมปุ่มควบคุมฟังชั่นต่างๆ ภายในตัวรถแบบวงแหวนซึ่งสามารถซ่อนตัวเก็บได้ เธอเช่นกันปุ่มควบคุมที่ติดตั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้า ชุดเครื่องเสียงจาก Burmester® 3D High-End Surround Sound System เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน

 

เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

เครื่องยนต์เบนซิน V12 ทำมุม 65 องศา วางตามยาวหลังเพลาล้อคู่หน้า DOHC 48 วาล์ว 6.5 ลิตร 6,496 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 94 x 78 มิลลิเมตร ระบบฉีดจ่ายเชื้อเพลิง Ultra-high-pressure Direct-injection พร้อมอ่างน้ำมันเครื่องแบบ dry sump อัตราส่วนกำลังอัด 13.6 : 1 กำลังสูงสุด 725 แรงม้า ที่ 7,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 716 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบ/นาที โดยสามารถเร่งรอบเครื่องได้สูงสุดที่ 8,250 รอบ/นาที

จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch 8 จังหวะ F1 DCT ขับเคลื่อน 4 ล้อ

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน

  • อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 3.3 วินาที
  • อัตราเร่ง 0 – 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ทำได้ใน 10.6 วินาที
  • ความเร็วสูงสุดทำได้มากกว่า 310 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • ระยะการเบรกจาก (100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ภายใน 32.8 เมตร
  • ระยะการเบรกจาก (200-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง) ภายใน 129 เมตร

 

ระบบบังคับเลี้ยว

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบพาวเวอร์ไฟฟ้า Electromechanical Power Steering

ระบบกันสะเทือน

ระบบกันสะเทือนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เป็นแบบ Double Wishbone ที่ปรับแต่งมาโดยเฉพาะ พร้อม Ferrari active suspension technology และระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ 4RM-S evo อีกทั้งยังมีระบบ F1-Trac  ABS ‘EVO’ พร้อม Grip Estimation 2.0 และ ECS

ล้ออัลลอยแบบ Forged กว้าง 9 นิ้ว รัดด้วยยางขนาด 255/35 R22 ที่ล้อคู่หน้า และ กว้าง 11 นิ้ว ขนาด 315/30 R23 ที่ล้อคู่หลัง

ระบบห้ามล้อ

ระบบห้ามล้อเป็นดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ

  • จานเบรกคู่หน้าเป็นแบบมีครีบและรูระบายความร้อน ขนาด 398 มิลลิเมตร
  • จานเบรกคู่หลังเป็นแบบมีครีบและรูระบายความร้อน ขนาด 360 มิลลิเมตร

โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้นของ Ferrari Purosangue ในยุโรปจะอยู่ที่ 390,000 ยูโร (14,244,800 บาท) พร้อมแพ็คเกจการซ่อมบำรุงเป็นเวลากว่า 7 ปี ทุกๆ 20,000 กิโลเมตร

ที่มา: Motor1