Dacia แบรนด์รถราคาประหยัดภายใต้ร่มเงาของ Renault มีตลาดหลักอยู่ที่ยุโรป ยืนยันที่จะจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ภายหลังช่วงปี 2030 ถึงแม้ว่าพรรคพวกแบรนด์รถแดนยุโรปจะหันไปใช้ขุมพลังไฟฟ้า 100% แล้วก็ตามในเวลานั้น โดยเฉพาะบริษัทแม่อย่าง Renault ที่ประกาศแผนชัดเจนว่า ภายในปี 2030 จะจำหน่ายแต่รถยนต์รวมไปถึงรถเพื่อการพาณิชย์ ที่ใช้ขุมพลังไฟฟ้าทั้งสิ้น

เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อสหภาพยุโรป European regulations ลั่นกำหนดการ Zero emissions สำหรับรถยนต์ที่วางจำหน่ายภายในปี 2035 เปรียบเสมือนการยุติบทบาทของเครื่องยนต์สันดาปภายในสำหรับรถยนต์ใหม่

 

Renault เดินกลยุทธ์ที่จะเข้าสู่ตลาดรถไฟฟ้าและปล่อยให้ แบรนด์รถยนต์ราคาประหยัดอย่าง Dacia ยังคงทำตลาดส่วนที่อาจมีบริษัทรถยนต์หลายบริษัทมองข้ามในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่ขุมพลังไฟฟ้า เหมือนเป็นส่วนเติมเต็มของแผนการรุกตลาดทวีปยุโรป ที่ไม่ได้คาดหวังแต่เพียงผลกำไรจากรถยนต์ที่ใช้พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว

 

แท้จริงแล้ว Dacia เองก็มีรถยนต์ไฟฟ้าราคาสบายกระเป๋าจำหน่ายเช่นเดียวกัน เพียงแต่เป็นรถที่ถูกพัฒนาและผลิตจากประเทศจีนรุ่น Spring แต่ยังส่งออกไปยังทวีปยุโรปด้วย และก็กวาดส่วนแบ่งยอดขายได้สูงถึง 12% นอกจากนี้ยังเตรียมพร้อมผลิตรถ EV หากเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามีราคาที่จับต้องได้มากกว่าปัจจุบัน เพื่อให้สามารถขายในราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ตามแนวทางของแบรนด์

อย่างไรก็ตามทางค่ายก็เตรียมที่จะเปิดตัวขุมพลัง Hybrid เป็นทางเลือกให้กับรถรุ่น Jogger รถ 7 ที่นั่ง รูปแบบ Crossover ในปี 2023 โดยจะยกเทคโนโลยีขุมพลัง E-Tech hybrid system จาก Renault ที่เริ่มนำไปใช้กับรถยนต์หลายรุ่นในปัจจุบัน

 

เนื่องจากการทำตลาดนอกทวีปยุโรปในประเทศกำลังพัฒนาอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้ต้องคำนวณ ต้นทุนและจัดการกับแนวทางการผลิตรถขุมพลังไฟฟ้าให้รอบคอบ เพราะยังมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่พร้อมกับขุมพลังไฟฟ้าในปัจจุบันหรืออนาคตอันใกล้นี้

นอกจากนี้ยังมีคำกล่าวทิ้งท้ายจาก Renault เนื่องด้วย ยอดขายรถกลุ่มพลังไฟฟ้าของตนถูกแซงหน้าโดยผู้เล่นหน้าใหม่หลายราย จึงทำให้ต้องปรับกลยุทธ์และเตรียมจะเผยแผนการทำตลาด ที่แยกกันชัดเจนระหว่างขุมพลังไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายใน ในเดือนตุลาคม 2022 นี้

ที่มา: Autonews