ภายนอกยังคงงานออกแบบหลักใกล้เคียงกับรุ่น 500e ปกติ โดยที่จะสังเกตเห็นได้ชัดก็คือกันชนหน้าที่ผนวกกระจ่างหน้าไว้ในแบบที่รถยนต์ขุมพลังไฟฟ้าล้วนนิยมใช้กัน อย่างไรก็ตาม ได้ถูกติดตั้งตราสัญลักษณ์ Abarth บริเวณฝากระโปรงหน้าและกันชนหน้า พร้อมปรับงานออกแบบกันชนหน้าให้มีช่องรับลมมากกว่ารุ่นปกติ รวมไปถึง มีความเตี้ยรับกับช่วงล่าง ที่ลดความสูงลงกว่ารุ่นปกติ ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว พร้อมสเกิร์ตข้างทรงเฉี่ยว ในขณะที่ด้านท้ายติดตั้งดิฟฟิวเซอร์แบบเรียบง่าย น่าเสียดายที่ยังคงใช้สปอยเลอร์หลังคาร่วมกับรุ่นปกติ

ภายในมาพร้อมเบาะนั่งทรง Bucket seat พร้อมระบบอุ่นเบาะหุ้มด้วยวัสดุผ้าอาคันทาร่าเดินด้ายสีเขียว พร้อมปักโลโก้ Abarth สีใหม่ให้เข้ากับธีมขุมพลังไฟฟ้ารวมเป็นสีเขียวซึ่งนอกจากจะติดตั้งที่เบาะหนังแล้วยังเพิ่มเติมในส่วนของวงพวงมาลัยอีกด้วย

จอกลางระบบ infotainment ขนาด 10.25 นิ้วรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto ระบบเครื่องเสียงจาก JBL JBL premium พร้อมมาตรวัดระดับผู้ขับขี่แบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว

 

เมื่อเทียบกับรุ่น 500 e ปกติ ทาง Abarth 500e จะได้รับการอัพเกรดมอเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 42 kWh ให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นจาก 117 เป็น 155 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นจาก 220 เป็น 235 นิวตัน-เมตร ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวเลขที่มากมายนัก แต่ทาง Abarth ได้เคลมว่าอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. สามารถจบได้ภายในเวลาเพียง 7 วินาที ลดลงจากรุ่นปกติถึง 2 วินาที

โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่ด้วยไฟกำลังสูง 85 kW และใช้เวลาเพียง 5 นาที ก็สามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 40 กิโลเมตร ขณะที่การชาร์จจาก 0-80% ใช้เวลาเพียงแค่ 35 นาที

 

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับ Abarth 695 ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในความจุ 1.4 ลิตร พ่วงระบบอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า เจ้า Abarth 500e สามารถทำอัตราเร่ง 20-40 กม./ชม. ได้เร็วกว่าถึง 1 วินาที พร้อมทำเวลาต่อรอบในสนาม Misto Alfa Romeo circuit เร็วกว่า 695 เป็นเวลา 1 วินาทีเช่นกันพร้อมโหมดการขับขี่ Turismo Scorpion Street และ Scorpion Track พร้อมระบบสร้างเสียงเครื่องยนต์เบนซินสังเคราะห์ (สามารถปิดได้)

 

โดยรุ่นพิเศษจำนวนจำกัดที่มีชื่อว่า Scorpionissima เพียง 1,949 คัน ซึ่งเป็นตัวเลขของปีที่ Abarth ได้ก่อตั้งขึ้น มาพร้อมกับสีตัวถังสีเขียว Acid Green สดใส หรือสีฟ้า Poison Blue ซึ่งมีการติดลวดลายกราฟิกที่ตัวถังด้านข้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น มาพร้อมกับล้ออัลลอยลายพิเศษขนาด 18 นิ้ว หลังคากระจกแบบยึดตายตัว กระจกแบบ privacy รอบคัน แป้นเหยียบแบบ sport รวมไปถึงสคัฟเพลทอะลูมิเนียมที่ชายประตูทั้ง 2 ข้าง

นอกจากนี้ยังมีตัวถังเปิดประทุนให้เลือกอีกด้วยซึ่งจะมาพร้อมหลังคาผ้าใบสีดำแทนหลังคากระจกแบบรุ่น Hatchback

ที่มา: Motor1