ถึงแม้กระแสนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจะมาแรงแซงทางโค้งในขณะนี้ แต่ทว่า ค่ายรถยนต์แดนอาทิตย์อุทัยอย่าง Mazda ยังคงหาทางเลือกในการลดมลภาวะจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ง่ายต่อการนำมาใช้กับเทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยเฉพาะเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv ที่ถูกพัฒนาและนำมาใช้เป็นเวลามากกว่า 10 ปี แล้ว

อีกทั้ง Mazda เองก็เพิ่งจะออกมาประกาศว่าจะทำตลาดรถ Roaster ในตำนานเพียงหนึ่งเดียวของค่ายอย่าง MX-5 หรือ Miata จะถูกวางจำหน่ายไปอีกหลายปี ในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีขุมพลังไฟฟ้าล้วน จึงก่อให้เกิดโปรเจ็คพัฒนาพลังงานสะอาดสำหรับใช้ในเครื่องยนต์สันดาปภายใน ซึ่งสังเคราะห์จากพืชที่เหลือใช้ได้ 100% หรือ eFuel ปราศจากส่วนประกอบของน้ำมันดิบ

 

โดย Mazda ได้นำรถ MX-5 ที่ปราศจากการปรับแต่งใดๆ บรรจุเชื้อเพลิง eFuel เต็มถัง ซึ่งได้รับการพัฒนาจาก Coryton บริษัทสัญชาติอังกฤษ ยิ่งไปกว่านั้น Mazda เอง ก็ได้เข้าร่วม ความร่วมมือที่จัดขึ้นโดยสหภาพยุโรปเพื่อที่จะพัฒนาเชื้อเพลิงสังเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ สำหรับใช้งานในเครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันสำหรับการขนส่ง ที่ไม่ใช่แต่เพียงทางถนนเท่านั้น แต่ยังคงครอบคลุมถึงทางน้ำและทางอากาศ ช่วยลดมลภาวะ โดยไร้การปรับแต่ง

การทดสอบเชื้อเพลิงสังเคราะห์ครั้งนี้ของ Mazda ได้พิสูจน์ผ่านระยะทางกว่า 1,000 ไมล์ หรือประมาณ 1,600 กิโลเมตร ทั่วสหราชอาณาจักร โดยเน้นไปที่การทำเวลาต่อรอบในสนามแข่งท้องถิ่น ที่มีความหลากหลายทางลักษณะเส้นทางและภูมิอากาศ เพื่อทำการเปรียบเทียบเวลาต่อรอบ กับเชื้อเพลิงปกติ

 

รายชื่อสนามแข่งดีงกล่าวได้แก่ Anglesey Circuit ตั้งอยู่ในเวลส์ Oulton Park ประเทศอังกฤษ Knockhill ในสกอตแลนด์ และ Kirkistown ที่ไอร์แลนด์เหนือ พร้อมมอบอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีกว่าเชื้อเพลิงปกติทั่วไป โดยค่าเฉลี่ยของเชื้อเพลิงสังเคราะห์จะอยู่ที่ 45.6 ไมล์/แกลลอน (19.4 กิโลเมตร/ลิตร) ในขณะที่ค่าเฉลี่ยเดิมจะอยู่ที่ 40.9 ไมล์/แกลลอน (17.4 กิโลเมตร/ลิตร)

Mazda ยังให้ความเชื่อมั่นด้วยการวัดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ผ่านมาพารามิเตอร์ต่างๆ โดยในท้ายที่สุด การทำงานของเครื่องยนต์สันดาปภายในภายใต้เชื้อเพลิงสังเคราะห์ ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังแต่อย่างใด

 

นอกจากนี้ยังได้พูดถึงการนำเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้ามาใช้ โดยทางค่ายยังคงศึกษาและเตรียมความพร้อมสู่ยุคของขุมพลังไฟฟ้าล้วน แต่ทว่า ในหลายภูมิภาคบนโลกยังคงมีประชากรของรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในอยู่เป็นจำนวนมากตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักร ที่มีอัตราส่วนสูงถึง 90% จึงมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้กับเครื่องยนต์เหล่านี้โดยปราศจากการปรับแต่ง เพื่อลดมลภาวะทั้งจากการขุดเจาะน้ำมันและการปล่อยไอเสียยามใช้งานขณะเดินทาง ผ่านการสนับสนุนทางนโยบายของภาครัฐและเอกชน ที่จะต้องผลักดันให้เทคโนโลยีนี้เป็นจริงได้

ที่มา: Autoblog