หลังจากที่ Mercedes-Benz เปิดตัว GLE-Class เจเนอเรชั่นที่ 2 หรือ รุ่นที่ 4 หากนับรวม ML-Class ที่เข้ามาแทนที่ ในงาน 2018 Paris Motor Show ก่อนที่จะวางจำหน่ายในปี 2019 และตามมาด้วยตัวถัง Coupe เป็นรุ่นที่ 2 เมื่อปลายปี 2019 ก่อนที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าในปี 2020 ก็ถึงคราวปรับโฉมเล็กน้อยเพื่ออัพเดทขุมพลังเป็นหลักและปรับงานออกแบบให้ทันสมัยยิ่งขึ้น

Mercedes-Benz GLE

Mercedes-Benz GLE Coupe

Mercedes-Benz GLE PHEV

เริ่มจากงานออกแบบด้านหน้าที่มีการปรับเส้นสายเล็กน้อยเท่านั้น ด้วยการปรับรายละเอียดภายในกระจังหน้า รวมไปถึงการปรับลวดลายของกันชนหน้าให้ทันสมัยและสอดคล้องกับงานออกแบบยุคใหม่มากขึ้น พร้อมประดับประดาด้วยวัสดุโครเมียมรอบคัน ในขณะที่ไฟหน้ามีการปรับรายละเอียดภายในโคมใหม่แต่ยังใช้เบ้ารูปทรงโคมเช่นเดิม

รวมไปถึงด้านท้ายที่ปรับเปลี่ยนเพียงรายละเอียดภายในโคมไฟ แต่ยังไว้ซึ่งเส้นสายงานออกแบบชิ้นส่วนตัวถังอื่นๆ เช่นเดิม

 

สำหรับงานออกแบบภายในมีการใช้วัสดุตกแต่งจาก Mercedes-Maybach GLS และ Mercedes S-Class เข้ามาปรับใช้ โดยเฉพาะชิ้นส่วนโครเมียมตามช่องแอร์ที่ผสมผสานกับวัสดุสีดำ Piano Black พร้อมติดตั้งไฟสร้างบรรยากาศที่สามารถปรับสีได้เหมือนกับ S-Class และไฮไลท์สำคัญอยู่ที่พวงมาลัยใหม่ ที่สามารถรองรับระบบสัมผัสด้วยปลายนิ้ว ทำให้การควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานทำได้หลากหลายยิ่งขึ้น

พร้อมหน้าจอระบบ Infotainment ภายใต้ระบบปฏิบัติการ BMUX รุ่นใหม่ล่าสุด ทำงานร่วมกับระบบสั่งงานด้วยเสียง Hey Mercedes ที่ได้รับการปรับปรุงความแม่นยำในการสั่งงาน และยังสามารถอัพเดตโปรแกรมต่างๆ ได้ผ่านระบบ “Over-the-air” (OTA) และเครื่องเสียง premium audio system โดย Burmester ที่มาพร้อมระบบ Dolby Atmos ติดตั้งลำโพงจำนวน 13 ตำแหน่ง ที่มี Amplifier ขับแยกต่างหาก ด้วยกำลังสูงสุดกว่า 590W

Mercedes-Benz GLE 53 4MATIC+

Mercedes-Benz GLE 53 4MATIC+ Coupe

นอกจากนี้ยังมาพร้อมแพ็คเกจ Off-road สำหรับ GLE ที่ติดตั้งชุดยกสูงขึ้นกว่า 1.2 นิ้ว และแผ่นกันกระแทกให้กับตัวรถ พร้อมโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ทำงานร่วมกับข้อมูลสภาวะพื้นถนนรอบตัวรถ และเอาใจสายลากจูงด้วยโหมด Trailer Route Planner สำหรับวางแผนเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดกับน้ำหนักบรรทุก พร้อมระบบช่วยถอยขณะลากจูงอีกด้วย

ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ขุมพลัง ที่ได้ทำการพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Integrated Starter Generator เพื่อให้ทำงานในลักษณะ Mild-hybrid แรงดันไฟฟ้า 48V ในรุ่น GLE 450 4MATIC GLE 300 d 4MATIC และ GLE 450 d 4MATIC

ในขณะที่รุ่น Plug-in hybrid อย่าง GLE 400 e 4MATIC ที่เพิ่มเข้ามาใหม่เสริมทัพรุ่น GLE 350 de 4MATIC มาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้พละกำลัง 252 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ความแรง 136 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตัน-เมตร ให้พละกำลังรวมกว่า 381 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดรวม 600 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 31.2 kWh สามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุด 92-105 กิโลเมตร

 

สำหรับใครที่มองหาความแรงแบบไม่สนระยะทางที่วิ่งได้ด้วยพลังงานไฟฟ้า สามารถอัพเกรดเพื่อสัมผัสประสบการณ์อันเร้าใจไปกับ 2 ทางเลือก รุ่น Mercedes-AMG GLE 53 4MATIC+ SUV และ Mercedes-AMG GLE 63 S 4MATIC+ SUV ที่ได้รับการปรับโฉมในส่วนด้านหน้าและรายละเอียดภายในโคมไฟหน้าและหลัง เช่นเดียวกับรุ่นปกติ พร้อมทางเลือกสีภายนอก-ภายในใหม่

ทางด้านเทคนิค ยังได้เพิ่มแรงบิดให้กับรุ่น 53 4MATIC+ อีก 40 นิวตัน-เมตร ทำให้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ 3.0 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ มีพละกำลังสูงสุด 435 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 560 นิวตัน-เมตร (ยังไม่รวมแรงบิดอีก 250 นิวตัน-เมตร EQ Boost จากมอเตอร์ไฟฟ้า Integrated Starter Generator (ISG) กำลังสูงสุดชั่วขณะ 22 แรงม้า) ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+

Mercedes-AMG GLE 63 S 4MATIC+

Mercedes-AMG GLE 63 S 4MATIC+ Coupe

เช่นเดียวกับรุ่นพี่ 63 S 4MATIC+ ที่ก็ได้รับกำลังเสริมจาก ISG รุ่นเดียวกัน แต่ให้พละกำลังรวมที่ทรงพลังกว่าด้วยเครื่องยนต์ เบนซิน V8 ขนาด 4.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 612 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G 9 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ ตามเคย

ที่่มา: Mercedes-Benz