Mini Clubman Final Edition เปิดตัวในฐานะรุ่นพิเศษส่งท้ายเจเนอเรชั่นปัจจุบันที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งเป็น Clubman ที่มีความใหญ่โตที่สุดในตระกูล โดยมีความยาวมากถึง 4.25 เมตร หลังจากรุ่นก่อนหน้าที่เปิดตัวในปี 2007 มีการออกแบบประตูด้านข้างแบบ Open-cab ที่ฝั่งตรงข้ามผู้ขับขี่ แต่ยังคงไว้ซึ่งประตูเปิดด้านท้ายแบบตู้กับข้าว 2 ฝั่ง ซ้าย-ขวา ที่เป็นเอกลักษณ์ตั้งแต่รุ่นแรก ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 1969 ซึ่งตรงกับจำนวนคันที่รุ่นพิเศษนี้เปิดให้เป็นเจ้าของได้

 

โดยรุ่น Final Edition จะมีสีตัวถังภายนอกให้เลือกจำนวน 3 สี ได้แก่ สีขาว Nanuq White สีดำ Enigmatic Black และสีเงิน Melting Silver โดยมีไฮไลท์อยู่ที่ชิ้นส่วนตกแต่งภายนอกเป็นสีทองแดงที่อยู่บนกระจังหน้า ลายล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว สติ๊กเกอร์ด้านข้างตัวรถ พร้อมป้ายบ่งบอกความพิเศษ 1 ใน 1969 บริเวณเสา C

 

ภายในติดตั้งแผ่นสคัฟเพลทบ่งบองความเป็นรุ่นพิเศษ “FINAL EDITION” พร้อมพวงมาลัยหุ้มด้วยหนัง Nappa พร้อมกรุลาย FINAL EDITION เช่นเดียวกับบริเวณกายประตู ในขณะที่เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสีน้ำตาล-ดำ ทำให้มีกลิ่นอายของรถรุ่นพี่ได้อย่างลงตัว ในส่วนของคอนโซลกลางที่ผสมระหว่างสีเขียวเข้ม Sage Green และสีทองแดง พร้อมเพลทบอกความลิมิเตท “1 of 1969” บริเวณผู้โดยสารตอนหน้า

 

Mini กำลังปรับทัพไลน์อัพรถของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้ โดยจะเพิ่มรุ่นใหม่หมดจดอย่าง Aceman ซึ่งเป็นรถ SUV ขนาดเล็กขุมพลังไฟฟ้าล้วน เตรียมเปิดตัวในปี 2025 ที่คาดว่าจะมาพร้อมกับขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าในรุ่นเริ่มต้น ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ใช้พลังงานฟ้าจากแบตเตอรี่ความจุ 40 kWh ให้ระยะทางสูงสุด 300 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP โดยในรุ่นสูงกว่าจะมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 215 แรงม้า และอัพเกรดความจุแบตเตอรี่เป็น 54 kWh ให้ระยะทางสูงสุด 400 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP

ขณะที่รุ่นพี่ซึ่งเป็นรถขายดีของค่ายอย่าง Countryman ในเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วน เตรียมจะเปิดตัวก่อนในช่วงต้นปี 2024 นี้ มาพร้อมขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขับเคลื่อนล้อหน้าในรุ่นเริ่มต้น ให้กำลังสูงสุด 188 แรงม้า ใช้พลังงานฟ้าจากแบตเตอรี่ความจุ 54 kWh โดยในรุ่น SE จะมีกำลังเพิ่มขึ้นเป็น 268 แรงม้า และอัพเกรดความจุแบตเตอรี่เป็น 64 kWh

ที่มา: Motor1