โดยในเวอร์ชั่นนี้ทาง Ford ได้ออกแบบและพัฒนาให้รุ่นพิเศษสำหรับการลุยที่จะวางจำหน่ายในภูมิภาคยุโรปเท่านั้นแตกต่างจากรุ่นซึ่งจะมีจำหน่ายในประเทศออสเตรเลียด้วย การอัพเกรดในส่วนของช่วงล่างเริ่มจากการเปลี่ยนโช๊คอัพให้เป็นของยี่ห้อ Bilstein ที่มาพร้อมระยะยุบตัวยาวกว่าชุดโช๊คอัพติดรถ นอกจากนี้ยังได้ทำการปรับปรุงระบบบังคับเลี้ยวให้มีชิ้นส่วน boost และยางที่รองรับแรงกระแทกมากกว่าสเปคมาตรฐาน

นอกจากชุดแต่งรอบคันที่เพิ่มเติมความดุดันและเสริมภาพลักษณ์ให้กับ Ranger Tremor ที่อัพเกรดจากรุ่น XLT ด้วยการเสริมโป่งล้อทั้ง 4 เพื่อให้รองรับมิติตัวรถที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้น และยังมาพร้อมพื้นปูกระบะที่ใช้วัสดุทนทานต่อคราบสกปรก โดยเฉพาะคราบน้ำมันต่างๆ

 

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมาพร้อมระบบ Trail Turn Assist ที่ช่วยลดระยะวงเลี้ยวแคบสุดได้สูงสุดถึง 25% ระบบ Trail Control ที่ช่วยนำรถลุยผ่านอุปสรรคต่างๆ ตามเส้นทางออฟโรด เปรียบเสมือนการใช้ cruise ccontrol สำหรับทางวิบาก ระบบ Rock Crawl mode สำหรับการปีนป่ายพื้นผิวขรุขระซึ่งปกติจะมีอยู่ในรุ่น Raptor เท่านั้น อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่น Rock mode ที่ช่วยควบคุมคันเร่งขณะที่รถเคลื่อนที่ผ่านผิวขรุขระ ปิดท้ายด้วยการจัดการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวต่างๆ

ภายนอกติดตั้ง Sport Bar ที่กระบะด้านท้าย ที่ใช้วัสดุทำจากเหล็กท่อเสริมภาพลักษณ์ตัวลุยพันธุ์แกร่ง พร้อมบันไดข้างทำจากอะลูมิเนียม กระจังหน้าใช้สีดำเข้มพร้อมตกแต่งชิ้นส่วนตัวถังภายนอกด้วยสีเทา บริเวณกันชนหน้าติดตั้งคอลาภ

 

ภายในมาพร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุกันน้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเบาะนั่งและพรมปูพื้น นอกจากนี้ยังมาพร้อม option ชุดสวิตช์ที่สามารถต่อพ่วงระบบตัวช่วยเหลือต่างๆ

ขุมพลังใช้เครื่องยนต์ดีเซล EcoBlue 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว 2.0 ลิตร 1,996 ซีซี พ่วงระบบอัดอากาศ Bi-Turbocharged พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 210 แรงม้า (PS) ที่ 3,750 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750 – 2,000 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ พร้อมคันเกียร์แบบ Electronic Shifter ขับเคลื่อนล้อหลัง RWD และขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time 4WD

 

ทั้ง Ranger Wildtrak X และ Tremor เตรียมวางจำหน่ายในตลาดยุโรป โดยจะพร้อมส่งมอบในเดือนสิงหาคม 2023 เป็นต้นไป

ที่มา: Motor1