ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนของทุกปีเป็นหนึ่งในช่วงที่สวยที่สุดของประเทศญี่ปุ่น

ทั้งอากาศที่ไม่หนาวเกินไป ธรรมชาติที่สวยงาม ดอกซากุระบานในฤดูใบไม้ผลิ

บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้เชิญทีมงาน Headlightmag.com บินตรงสู่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเยี่ยมชม Fuji MotorSport Museum และชื่นชมทิวทัศน์ที่สวยงามในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงวันที่ 13-17 มีนาคม 2023


– DAY1 –
เดินทางตรงสู่ประเทศญี่ปุ่นด้วยการบินไทย (Thai Airways) เที่ยวบิน TG0682 ด้วยเครื่องบิน Airbus A330-300 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง สู่สนามบินฮาเนดะ กรุงโตเกียว (Haneda Tokyo)

 

หลังจากผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง เพราะนักท่องเที่ยวเต็มตม. รับกระเป๋าเสร็จก็พร้อมเดินทางสู่จุดหมายแรกของทริปนี้นั่นคือ ทะเลสาบยามานะคาโกะ (山中湖村) ซึ่งใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถโค้ชประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางก็แวะเติมพลังกันก่อน
ร้านโยกังออนเซ็น (Yougan Onsen) (พิกัด) ร้านอาหารเก่าแก่ชื่อดังแห่งคาวากูจิโกะ ใกล้กับภูเขาไฟฟูจิ ร้านอาหารแนวปิ้งย่างที่ใช้แผ่นหินลักษณะพิเศษขนาดใหญ่ในการย่าง โดยหินจะมีโพรงอากาศในเนื้อหิน หรือเรียกว่าหินลาวา ซึ่งสามารถกักเก็บความร้อนได้ดีกว่าเตาแบบปกติ จึงช่วยให้อาหารสุกเร็ว จัดกันไปคนละเซ็ท อิ่มกำลังดีพร้อมเดินทางต่อ

 

ห่างจากร้านอาหารเพียง 20 นาทีก็เดินทางถึงทะเลสาบยามานะคาโกะ
ทะเลสาบยามานะคาโกะ (山中湖村) (พิกัด) หนึ่งในทะเลสาบฟูจิทั้งห้า (Fuji-Goko) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ 6.57 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบทะเลสาบเต็มไปด้วยโรงแรมและร้านอาหารมากมาย
บริเวณทะเลสาบยังมีจุดให้นักท่องเที่ยวได้เช่าเรือถีบล่องในทะเลสาบ และบรรดาเป็ด-ห่านมากมายที่สามารถให้อาหารได้ รวมไปถึงสามารถชมวิวภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน

 

เดินเล่นถ่ายรูปจนถึงเวลานัดหมายก็เดินทางต่อไปขึ้นรถสะเทือนน้ำสะเทือนบก YAMANAKAKO NO KABA
Kaba (Hippo) Of Lake Yamanaka (พิกัด) รถสะเทือนน้ำสะเทือนบกเพื่อการท่องเที่ยว KABA จะมีรอบในการวิ่งไปยังทะเลสาบ 7-9 รอบต่อวันแล้วแต่ในช่วงฤดู โดยสามารถเข้าไปดู ตารางเดินรถได้ที่เว็บไซต์นี้ มีค่าใช้จ่ายในการโดยสาร ผู้ใหญ่ : 2,300 เยน เด็ก : 1,150 เยน เด็กเล็ก : 400 เยน

 

ผู้โดยสารทุกท่านในรอบต้องเข้าไปฟังการบรรยายความเป็นมาและสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในเรือประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ถึงเวลาขึ้นรถพร้อมเดินทาง

 

รถสะเทือนน้ำสะเทือนบก KABA มีขนาดใหญ่ใกล้เคียงรถบัส ลักษณะเป็นรถที่คล้ายเรือและยกสูงจากพื้นด้วยล้อ สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ 40 คน ใช้เวลาในการท่องเที่ยวทั้งบนบกและลงน้ำประมาณ 40 นาที โดยจะลงไปในทะเลสาบยามานะคาโกะ ขับวนในทะเลสาบช้าๆ เพื่อชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่สูงเด่นมองเห็นได้อย่างชัดเจน

 

หลังชมวิวจนอิ่มหนำสำราญ ก็พร้อมเดินทางต่อสู่ที่พักคืนแรกวันนี้
โรงแรมที่พักในคืนนี้คือ Hotel CLAD (พิกัด) โรงแรมขนาดใหญ่พร้อมบ่อน้ำร้อนออนเซ็นที่มีความพิเศษคืออยู่ติดกับโกเทมบะ พรีเมี่ยม เอาท์เล็ทเพียงลงลิฟท์จากข้างโรงแรมก็สามารถลงไปเดินช็อปปิ้งได้อย่างเต็มอิ่ม จากร้านค้าในเอาท์เล็ทกว่า 200 ร้านค้าพร้อมร้านอาหารอีกมากมาย แต่ด้วยเดินทางมาตั้งแต่เมื่อคืนทางเราก็ขอตัดสินใจนอนพักดีกว่า เมื่อเข้าห้องพักเปิดกระจกชมวิว ก็ได้เห็นว่า ภูเขาไฟฟูจิอยู่ตรงหน้าเราเลย


– DAY 2 –
ตื่นแต่เช้าเปิดม่านชมแสงแดดสาดส่องไปยังยอดเขาฟูจิย้อมสีชมพู อาบน้ำแต่งตัวรับประทานอาหารเช้า จากนั้นได้เวลาเดินทางต่อ วันนี้เป็นวันสำคัญของทริปนี้คือการเดินทางไปเยี่ยมชม Fuji MotorSport Museum ที่ตั้งอยู่ที่ Fuji Speedway สนามแข่งรถอันเลื่องชื่อที่เรารู้จักกันอย่างดี โดยระหว่างทางแวะเติมวิตามินกันก่อน

 

GOTEMBA TOURIST FARM  (アグリモンスタースペシャル) (พิกัด) ฟาร์มสตรอว์เบอร์รี่ขนาดใหญ่ในหมู่บ้านเล็กๆ มีโรงเรือนเรียงรายที่ภายในเต็มไปด้วยสตรอว์เบอร์รี่มากมาย มีการปูพื้นยางสีขาวดูสะอาดสะอ้าน เข้าไปด้านในต้องใส่ผ้าคลุมรองเท้าพร้อมแจกถ้วยใส่นมข้นหวาน พร้อมที่จะให้เราได้ไปเก็บสตรอว์เบอร์รี่กินได้อย่างสะใจ โดยให้เวลา 30 นาที เด็ดได้เฉพาะล็อกที่เจ้าหน้าที่ของฟาร์มได้เตรียมเอาไว้ให้ มีสตรอว์เบอร์รี่ 3 สายพันธุ์ให้ได้ชิม ค่าใช้จ่ายคนละ 1,800 เยน

 

เมื่อเสร็จ ก็ได้เวลาเตรียมตัวไปกันต่อไปยังเป้าหมายหลักของทริปนี้ โดยใช้เวลาเพียง 30 นาทีเท่านั้นก็เดินทางมาถึงที่หมาย
Fuji MotorSport Museum (พิกัด) พิพิธภัณฑ์ “ฟูจิ มอเตอร์สปอร์ต มิวเซียม” ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 และชั้น 2 ของ Fuji Speedway Hotel – The Unbound Collection by Hyatt ติดกับสนามแข่ง Fuji Speedway
โดยทั้งสามโครงการจะร่วมกันเรียกว่า “Fuji Motorsports Forest” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Toyota Motor Comnapny และ Fuji Speedway ตัวโรงแรมเองเป็นเจ้าของโดย Toyota Fudosan ซึ่งเป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของทาง Toyota Group และมีการบริหารจัดการโดยกลุ่ม Hyatt Hotels & Resorts โดยเป็นหนึ่งใน The Unbound Collection by Hyatt Hotels

 

ตัวพิพิธภัณฑ์ทุนสนับสนุนจากกลุ่มบริษัทโตโยต้า แต่รถที่นำมาแสดงไม่ได้มีเพียงรถยนต์ของโตโยต้าเท่านั้น โดยได้รับความร่วมมือจากบริษัทรถยนต์หลากหลายบริษัททั่วโลกในการส่งรถแข่งที่เล่าประวัติศาตร์อันยาวนานกว่า 130 ปีของวงการมอเตอร์สปอร์ต รวมถึงรถต้นแบบ โดยมีรถเข้าจัดแสดงกว่า 40 คัน ซึ่งมีรถแข่งเกือบทุกประเภท เราคงจะเล่าได้ไม่หมด ขอเลือกเฉพาะคันที่ถูกใจ

 

Toyota 2000GT
ซุเปอร์คาร์คันแรกของญี่ปุ่น Toyota 2000GT เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ. 1965 ด้วยรูปทรงที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Jaguar E-Type ใช้เครื่องยนต์รหัส 3M ความจุ 2000 ซีซี จ่ายน้ำมันด้วยคาร์บูเรเตอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง

Toyota 2000GT วางจำหน่ายช่วงสั้นๆ ตั้งแต่ปีค.ศ. 1967 – 1970 และถูกผลิตขายเพียง 351 คัน ถือเป็นรถหายากและมีราคาขายที่สูงคันหนึ่งของโลก โดยรถคันที่นำมาจัดแสดงเป็นรถต้นแบบที่ใช้วิ่งทดสอบความทนทาน ก่อนที่จะเริ่มผลิตจริง เป็นคันที่ผู้เขียนชอบที่สุดในที่นี้!

 

Porsche 904 GTS
หนึ่งในรถ Prosche ที่ชนะการแข่งขันรถยนต์ Targa Florio ในปีค.ศ.1964 คือ Porsche 904 GTS รถสปอร์ตเครื่องวางกลางลำ ขับเคลื่อนล้อหลัง ขุมพลัง Flat-Four Engine 4 สูบให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่มีความซับซ้อนมากที่สุด ด้วยรูปทรงที่ลู่ลมทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานเพียง 0.34 cd สามารถทำความเร็วสูงสุดที่ 260 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 

TOYOTA CELICA GT-FOUR ST185
หนึ่งในรถ Toyota ที่คว้าชัยการแข่งแรลลี่ WRC ทั้งประเภทผู้ขับและทีมผู้ผลิต ในปี 1993 จากทีม Toyota Castrol Team ด้วยรถ TOYOTA CELICA GT-FOUR ST185 เป็นรถ TOYOTA CELICA ที่ยังจำติดตาในวัยเด็กกับไฟ Pop-Up เป็นหนึ่งในรุ่นที่ผู้เขียนเคยอยากได้มากกกก

 

MAZDA 787B
หนึ่งในรถ MAZDA ที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ต MAZDA 787B ด้วยตำนานการวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยรอบเครื่อง 9,000 รอบ/นาที เสียงดังสนั่น ในการแข่ง Le Mans 24 Hr. ในปีค.ศ. 1991 ซึ่งในสถานที่มีการจัดแสดงเสียงคำรามของเครื่องยนต์ โรตารี่ 4 โรเตอร์ R26B ที่ให้พลังกำลัง 700 แรงม้า

 

MERCEDES-BENZ W25
หนึ่งในตำนานรถแข่งค่าย Mercedes-Benz ต้นกำเนิดของ Silver Arrow โดยเหตุจากการลงแข่งขันรถยนต์ทางเรียบในสนาม Nurburgring เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน ค.ศ. 1934 แต่เนื่องจากน้ำหนักเกินที่กติกากำหนดไป 1 กิโลกรัม ทำให้ทีมงานต้องรีบแก้ไขทันที ด้วยการลอกสีขาวของตัวถัง จนเหลือแต่สีบรอนซ์เงินของเนื้อโลหะอลูมินั่มอัลลอย และได้รับชัยชนะในครั้งนั้น ทำให้ได้รับคำกล่าวขานในชื่อ Silver Arrow ของทีมแข่งจากทาง Mercedes-Benz

 

TOYOTA TF109
รถ Formula 1 คันสุดท้ายจากทาง Panasonic Toyota Racing ซึ่งได้เข้าร่วมการแข่ง Formula 1 กว่า 8 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ.2002 จนถึงปี ค.ศ.2009 โดยคันแรกมีรหัส TF101 (ค.ศ.2001) จนถึงคันสุดท้ายที่จอดโชว์ให้ได้ชมคือ TF109 (ค.ศ.2009) ใช้ขุมพลังรหัส RVX-09 2.4L V8 ให้กำลัง 740 แรงม้า ที่ 18,000 รอบ/นาที และได้มีรถที่เตรียมในการแข่งก่อนที่จะยกเลิกในรหัส TF110

 

นอกจากรถแข่งในหลายรูปแบบหลายประเภทที่อยากให้ชมอีกหลายคันแล้ว ยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจให้รับชม

การแข่งขัน MOTORSPORT ในเอเชียโดยในปีค.ศ. 1907 คุณ Okura Kishichiro ชาวญี่ปุ่นคนแรกได้ยืนบนโพเดียมในการแข่งขันในสนาม Brooklands ในประเทศอังกฤษ และสามารถคว้าตำแหน่งที่ 2 ไปได้
ต่อมาในปี ค.ศ. 1936 สนามแข่งรถแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นก็สร้างเสร็จสมบูรณ์ในชื่อ Tamagawa Speedway ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำทามากาวะ โดย 1 รอบสนามมีระยะทาง 1.2 กิโลเมตร มีการจัดแข่งขันครั้งแรกในเดือนมิถุนายนปีเดียวกัน ประเดิมการแข่งขันครั้งแรกกับรายการ All Japan Auto Racing Tournament มีรถเข้าร่วมแข่งขัน 35 คัน และผู้ชมกว่า 3 หมื่นคน โดยเป็นการแข่งขันที่รองรับรถแข่งสมรรถนะสูงของญี่ปุ่นในยุคนั้น
หรือเรื่องของชาวเอเชียคนแรกที่เข้าร่วมการแข่งขันรายการกรังด์ปรีซ์ นั่นคือ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ พระองค์เจ้าพีระ ซึ่งชนะการแข่งขันรายการ Monaco Grand Prix ในปี 1936 และเข้าร่วมการแข่งขัน Le Mans 24 Hr. ในปี 1939 พระองค์เจ้าพีระ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดการแข่งขัน Bangkok Grand Prix โดยเชิญนักแข่งชั้นนำมาแข่งขันบนเส้นทางรอบสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง ระยะทางประมาณ 3.2 กิโลเมตร ในวันที่ 10 ธันวาคม 1939 แต่ต้องยกเลิกเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียก่อน

 

หลังจากเดินจากชั้น 1 วนไปชั้น 2 ก็ขึ้นไปถึงชั้นที่ 3 ของตัวอาคาร ส่วนนี้จะเป็นส่วนของร้านคาเฟ่และขายของที่ระลึกโดยวิวโดยรอบจะเป็นวิวที่สามารถมองเห็นสนามแข่งและวิวภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน และอีกมุมจะเป็นส่วนของทางโรงแรม Fuji Speedway Hotel

 

เต็มอิ่มกับการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ ได้เห็นรถแข่งยุคบุกเบิกที่น่าตื่นตาตื่นใจ รถในสมัยก่อนที่เคยเห็นแต่ในหนังหรือในรูปถ่าย เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใครรักใน Motor Sport ไม่ควรพลาด โดยค่าเข้าชมอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 เยน ขึ้นอยู่กับวันหรือการจองตั๋วเข้าชมล่วงหน้า สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม หาข้อมูลได้ที่เว็บไซต์

 

เข้าสู่ช่วงบ่าย ได้เวลาเดินทางต่อไปสู่กรุงโตเกียว โดยแวะรับประทานอาหารที่ร้าน Takinosumika Chame (พิกัด) อยู่ในเมืองโกเท็มบะ ทานสุกี้ยากี้สูตรดั้งเดิม พร้อมเดิมชมซากุระที่เริ่มบานแล้ว บางจุดบานจนโรยต้นเริ่มผลิใบเขียว

 

การเดินทางกลับไปกรุงโตเกียวใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง แวะย่านชินจูกุ (Shinjuku) เพื่อรับประทานอาหารค่ำ โดยมื้อนี้ฝากท้องไว้ที่ร้าน Kisoji Shinjuku (พิกัด) หม้อไฟปู ทั้งปูขน ปูหิมะ จัดกันจนอิ่มท้อง ก่อนที่จะเดินทางต่อเข้าที่พักที่โรงแรม Sunshine City Prince Hotel (พิกัด) อยู่ในย่านอิเคบุคุโระ (Ikebukuro) พักผ่อนได้ตามอัธยาศัย เตรียมแรงไปต่อในวันพรุ่งนี้


– DAY 3 –
ตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางออกจากรุงโตเกียวไปสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดคานางาวะ ใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวเพียง 1-2 ชั่วโมงขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร
ซึ่งจุดหมายที่เราไปคือเกาะเอโนะชิมะ (Enoshima Island) (พิกัด) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวริมทะเล เกาะแห่งนี้จัดอยู่ใน 100 ภูมิทัศน์ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
โดยที่เป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่เพียง 0.3 8ตารางกิโลเมตร ติดชายฝั่งโชนัน ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ ทำให้เกาะเอโนะชิมะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว วันไหนอากาศแจ่มใสแดดดีหรือช่วงหน้าร้อน จะเป็นที่นิยมมาพักผ่อน เนื่องจากไม่ไกลจากกรุงโตเกียวและมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม

 

วันนั้นอากาศดี แดดแรง ทำให้มีประชาชนพร้อมใจกันไปจำนวนมาก การเดินทางด้วยรถโค้ชจึงใช้เวลานานกว่าที่คาดการ รถติดเป็นระยะๆ กว่าจะไปถึงก็เกือบเที่ยง จึงแวะทานอาหารก่อนที่จะข้ามไปยังเกาะเอโนะชิมะ
ร้าน Cyubei (พิกัด) เป็นร้านอาหารพื้นเมืองขายมีปลาสดๆ ในตู้หน้าร้าน จัดชุดไคเซ็นด้ง หรือข้าวหน้าปลาดิบรวม สดสมกับเป็นร้านอาหารติดทะเล

 

อิ่มกันแล้วได้เวลาเดินย่อยอาหาร โดยจุดหมายคือการข้ามไปเกาะเอโนะชิมะ ผ่านสะพานเบ็นเท็น (Enoshima Benten Bridge) เมื่อไปถึงเกาะก็เต็มไปด้วยร้านค้าสองข้างทางเรียงรายมีทั้งของกินของฝากมากมายบนถนนเบ็นไซเท็นนากามิเซะโดริ (Benten Nakamise Dori Street)

 

เดินไปสักพักก็เจอกับเสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่ทำให้เราได้รู้ว่าได้เข้าใกล้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือ ศาลเจ้าเอโนชิมะ (Enoshima Shrine) ที่นี่เป็นศาลเจ้าที่ประกอบด้วยศาลเจ้าเล็กๆ 3 แห่ง ได้แก่ เฮสึมิยะ (Hetsumiya), นาคาสึมิยะ (Nakatsumiya), โอคุสึมิยะ (Okutsumiya) ทั้งสามกระจายอยู่ตามเส้นทางเดินเที่ยวรอบเกาะเอโนชิมะ เป็นที่ประดิษฐานเทพธิดาสามพี่น้อง ที่เชื่อกันว่าช่วยปกปักรักษาให้การเดินทางในทางทะเลปลอดภัย และในศาลหลักเฮสึมิยะจะมีหอที่ประดิษฐานรูปปั้นเทพเจ้าเบ็นเท็นหรือเบ็นไซเท็น (Benzaiten) เทพเจ้าแห่งดนตรีซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดของเทพแห่งโชคลาภตามตำนาน ดังนั้นคนนิยมไปขอพรให้โชคดีร่ำรวยเงินทอง

 

การเดินทางขึ้นไปศาลเจ้าจะมีบันไดเลื่อนให้บริการรวมเข้าสถานที่ต่างๆ โดยมีค่าบริการคนละ 700 เยน แต่บันไดเลื่อนจะมีเฉพาะทางขึ้น ทางลงต้องเดินลงเท่านั้น หลังจากชมศาลเจ้าขอพรกันจุใจก็ได้เดินไปแลนด์มาร์คหลักอีกแห่งของเกาะนี้คือ ประภาคาร Enoshima (Enoshima Sea candle) แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันเป็นสัญลักษณ์ของพื้นที่โชนัน เอโนะชิมะ เป็นประภาคารชมวิว ความสูง 41.75 เมตร

 

ต่อคิวขึ้นลิฟท์เพื่อขึ้นไปชั้นบนสุด จะเป็นชั้นชมวิวกระจกรอบสามารถชมวิวเกาะเอโนะชิมะ แบบ 360 องศา เดินชมรอบแล้วยังสามารถขึ้นบันไดออกไปชั้นบนด้านนอก รับแดดรับลมสดชื่นแถมหนาวสะใจ

 

ชมวิวกันจนเต็มอิ่ม ลงมาชั้นล่างมี Cafe ให้นั่งพักจิบกาแฟรับลมทะเลอาบแสงแดด จนถึงเวลานัด ก็ได้เวลาเดินกลับ ลงบันไดจนหมดแรงถึงขั้นขึ้นรถหลับกันทุกคน เมื่อกลับมาถึงกรุงโตเกียวก็เข้าที่พัก เตรียมไปรับประทานอาหารค่ำ

 

สำหรับคืนนี้ ฝากท้องไว้ที่ร้าน Toraji Yakiniku (พิกัด) ยากินิกุปิ้งย่าง ร้านดังมีหลายสาขา มีเนื้อมาเป็นชุดๆ ปิ้งกันจนไฟลุกมันเนื้อกระจาย และยังมีกุ้งล็อบสเตอร์ ปิดท้ายอิ่มกันจนจุก

และเนื่องจากพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว ก็ได้เวลาช็อปปิ้งซื้อของฝากก่อนกลับบ้าน


– DAY4 –
วันสุดท้ายของทริปนี้ เก็บของขึ้นรถเตรียมเดินทาง แต่เครื่องบินออกตอนเย็น จึงขอใช้เวลาเที่ยวในกรุงโตเกียวสักนิดก่อนไปสนามบิน
สถานที่แรกคือศาลเจ้าอาตาโกะ (Atago Shrine : 愛宕神社) (พิกัด) ศาลเจ้าเล็กๆ กลางกรุงโตเกียวที่ล้อมรอบด้วยตึกสูง สร้างอยู่บนยอดเขา Atago-yama ที่ความสูง 26 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่ตอนนี้ตึกรอบๆ สร้างสูงกว่ายอดเขาแลัว

 

เดินจากจุดรับส่งผู้โดยสารไปนิดเดียวก็จะเจอเสาโทริอิสีแดง และบันไดที่มีความลาดชัน 45 องศา ขั้นบันได 86 ขั้น ซึ่งบันได้นี้ได้รับขนามนามว่า “บันไดหินแห่งความสำเร็จ” ศาลเจ้าถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาอาตาโกะในปี 1603 ตามคำสั่งของโชกุนโทคุกาวะ อิเอยาสุ โดยประดิษฐาน Atago Gongen (เทพแห่งอัคคีภัยและการป้องกันภัยพิบัติ) เพื่อช่วยคุ้มครองเมืองเอโดะ โดยความเป็นมาคือมีนักรบนิรนามได้ขี่ม้าขึ้นมาเด็ดดอกบ๊วยที่บานอยู่บนยอดเขา นำไปถวายอิเอะมิตสึ จนได้รับขนานนามว่าเป็นยอดฝีมือแห่งม้า เป็นชื่อที่ได้รับแต่งตั้งตอนเลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นศาลเจ้านี้จึงมีชื่อเสียง ผู้คนมาไหว้ขอพรที่ศาลนี้จะขอพรในเรื่องความสำเร็จในหน้าที่การงานและคุ้มครองจากภัยอันตรายต่างๆ แต่กว่าจะได้ขึ้นไปขอพรบันไดหินแห่งความสำเร็จก็เล่นเอาหอบเหมือนกัน
เดินขึ้นเดินลงบันไดไหว้ขอพรรู้สึกฮึกเหิมเหมือนได้เป็นนักรบนิรนามพิชิตยอดเขา ถึงเวลาต้องไปต่อ…

 

วัดสุดท้ายสำหรับสายมูของทริปนี้ โชคลาภเงินทองไปแล้ว การงาน คุ้มครองปลอดภัยแล้ว สุดท้ายก็ต้องต่อด้วยสุขภาพ ดังนั้นวัดที่ใครมาเยือนกรุงโตเกียวจะครั้งแรกหรือหลายครั้งแล้วก็ยังอยากมาวัดนี้
วัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) แต่เราอาจจะคุ้นหูในหมู่นักท่องเที่ยวว่า”วัดอาซากุสะ” หรือ “วัดโคมแดง”มากกว่า (พิกัด) ต้นกำเนิดวัดอาซากุสะถูกสร้างขึ้นโดยสองพี่น้องชาวประมงที่พบรูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิมจากแม่น้ำซูมิดะ (Sumida River) จากนั้นทั้งคู่ก็พยายามส่งรูปปั้นกลับคืนสู่แม่น้ำหลายครั้ง แต่ทุกครั้งรูปปั้นก็กลับมาหาพวกเขาเสมอ ทั้งสองจึงตัดสินใจนำรูปปั้นองค์เจ้าแม่กวนอิมมาบวงสรวง แล้วสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมนั่นเอง
ทางเข้าวัดจากทางถนนหลักจะต้องผ่านประตูที่มีโคมแดงขนาดใหญ่ มีชื่อว่าประตูคามินาริมง (浅草寺 雷門)

คำว่า 雷門 อ่านว่า คามินาริมง ประกอบไปด้วยตัวอักษรคันจิ 2 ตัว ได้แก่ 雷 (คามินาริ) แปลว่า สายฟ้า และ 門 (มง) แปลว่าประตู เมื่อนำตัวอักษรทั้งสองตัวมารวมกันจึงแปลว่า “ประตูสายฟ้า” ที่ประตูจะมีรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งสายฟ้า “ไรจิน” (雷神) และเทพเจ้าแห่งสายลม “ฟูจิน” (風神) มาประดิษฐานไว้ทางด้านซ้ายและด้านขวาของประตู
ประตูคามินาริมงถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ.942 ในยุคสมัยเฮอัน ต่อมาราวปี ค.ศ.1865 ในช่วงปลายยุคสมัยเอโดะได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ ทำให้ประตูคามินาริมงได้รับความเสียหาย แต่ก็ไม่ได้รับการบูรณะแต่อย่างใด จนกระทั่งในปี ค.ศ.1960 (ปีโชวะที่ 35) ก็ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่โดย มัตสึชิตะ โคโนะสุเกะ ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้ามัตสึชิตะ ซึ่งปัจจุบันก็คือ บริษัท พานาโซนิค คอร์ปอเรชั่นนั่นเอง มีเรื่องเล่าว่า มัตสึชิตะ ได้มาที่วัดเซ็นโซจิเพื่อขอพรให้ตัวเองหายจากอาการป่วย และต่อมาคำขอของเขาได้กลายเป็นจริง มัตสึชิตะ จึงได้ตัดสินใจทำบุญโดยการบูรณะประตูคามินาริมงที่ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ให้กลับมาสง่างามอีกครั้ง

 

เดินผ่านประตูประตูคามินาริมง ก็จะพบกับถนนนากามิเสะ (Nakamise) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านขนมของฝากเต็มสองข้างทางยาวไปจนถึงหน้าทางเข้าวัด หลังจากผ่านซุ้มประตูวัดจะพบกระถางธูปขนาดใหญ่ ซึ่งมีความเชื่อว่าหากกวักควันธูปเข้าตัวจะทำให้โรคภัยไข้เจ็บหายไปและมีสุขภาพดีได้ ไม่รอช้าก็ปักธูปกวักควันแบบไม่กลัว PM2.5 กันเลย

 

หลังจากสูดควันธูปกันเต็มปอด ก็ไปไหว้ขอพรเจ้าแม่กวนอิมที่อุโบสถหลัก โยนเหรียญ 5 เยน ที่มีความหมายว่าโชคดี ขอให้ปีนี้ได้พบเจอแต่สิงดีๆ ตลอดปี ตลอดไป สาธุ หิวแล้ว ก็ถึงเวลาที่มื้อเที่ยงต้องมาสู่ท้อง

 

เดินออกจากวัดไปทางถนนใหญ่เลี้ยวขวาไปเล็กน้อยก็พบกับร้านซูชิชื่อดัง ซูชิซันไม (Sushi Zanmai) (พิกัด) สิ่งที่ทำให้ร้านนี้โด่งดังนอกจากรสชาติของซูชิและประธานบริษัทคุณ Kiyoshi Kimura ผู้เคยทำสถิติประมูลปลาทูน่ามูลค่ากว่า 14 ล้านเยน รวมถึงเดินทางไปประเทศโซมาเลียเพื่อเจรจากับโจรสลัดให้หันมาจับปลาทูน่าส่งออก ไม่ต้องเป็นโจรสลัด ทำให้ในปัจจุบันประเทศโซมาเลียมียอดส่งออกปลาร่วมกว่า 100 ตันต่อปี และจำนวนโจรสลัดที่ออกปล้นในน่านน้ำโซมาเลียก็ลดลง หาข้อมูลจนชุดซูชิมารอตรงหน้าชุดใหญ่ อร่อย ข้าวมีรสชาติเปรี้ยวอ่อน คู่กับความหวานของปลาสด ถือเป็นมื้อปิดท้ายทริปที่ดีงามมาก

 

ถึงเวลาเดินทางกลับประเทศไทยโดยการบินไทย (Thai Airways) เที่ยวบิน TG0677 เครื่องบิน Boeing 777-300Er เดินทางถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ

 

ขอขอบคุณ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด อีกครั้งที่จัดทริปนี้ เป็นทริปที่สนุกมากเหมือนมาเติมพลังใจสายมู และได้เต็มอิ่มกับมิวเซียมมอเตอร์สปอร์ต ที่ใครหลงใหลในโลกยานยนต์ไม่ควรพลาด Fuji MotorSport Museum


ขอขอบคุณ / Special Thanks to:

Toyota Motor Thailand Co., Ltd.

เอื้อเฟื้อการเดินทางในครั้งนี้

Sirisak Setpattanachai

สงวนลิขสิทธิ์ ภาพถ่ายและบทความ โดยผู้เขียน

ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com

Copyright (c) 2023 Text and Pictures

Use of such content either in part or in whole without permission is prohibited.

First publish in www.Headlightmag.com