กระแสรถ EV ที่กำลังทวีความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศจีน ที่เริ่มเห็นทิศทางและการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว ส่งผลให้แบรนด์รถญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหายอดขายตกต่ำในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 คิดเป็นอัตราลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้ากว่า 32% โดยเป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งมีส่วนแบ่งยอดขายจากยอดขายรวมของตลาดจีนที่ 24% ก่อนที่จะปรับตัวลดลงเป็น 22% ในปี 2021 20% ในปี 2022 และ 18% ในปัจจุบัน

 

โดยแบรนด์ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะยอดขายตกต่ำครั้งนี้ จนทำให้ต้องหยุดแผนสายพานการผลิตในประเทศจีน ได้แก่ Mitsubishi ที่ต้องตัดสินใจแช่แข็งไลน์ผลิต Outlander อีกหนึ่งรุ่นขายดีของค่าย เป็นระยะเวลากว่า 3 เดือน ขณะที่ Nissan เพื่อนร่วมเครือพันธมิตรก็มียอดขายลดลงกว่า 45.8% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ในทำนองเดียวกัน Honda ก็มียอดขายลดลงกว่า 38.2% แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Mazda ที่ 66.5% แต่ก็พอจะมีแบรนด์หัวเรือใหญ่ของชาวญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Lexus ที่มีสัดส่วนลดลงเพียง 14.5%

 

Toshihiro Mibe CEO ของ Honda ออกมายอมรับกับทาง Reuters ว่า ยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์แดนมังกรกำลังเพิ่มขึ้นและมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากมีการอัดเทคโนโลยีแน่นคัน พร้อกกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ล้ำสมัยจนกำลังแซงหน้าค่ายรถจากแดนอาทิตย์อุทัยหลายค่าย

ปัญหาที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือทางเลือกรถ EV จากประเทศญี่ปุ่น น้อยกว่ารถสัญชาติจีน รวมไปถึงรถ Plug-in hybrid ที่ทางจีนก็ได้เปิดตลาดก่อน เนื่องจากมีคลังของผู้ผลิตแบตเตอรี่อยู่ในมือ จึงทำให้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่คว้าแชมป์ยอดขาย 3 ปี ซ้อน อย่าง Nissan Sylphy ต้องเสียตำแหน่งให้กับ BYD Song Plug-in hybrid ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา

 

ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของทางค่ายญี่ปุ่นที่เริ่มประกาศแผนการผลิตรถ EV รวมไปถึงการลงทุนและการร่วมทุนกับบริษัทชั้นนำด้าน EV เจ้าอื่นๆ จะส่งผลดีในด้านส่วนแบ่งให้กลับมาดีขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ท่ามกลางสงครามราคาและเทคโนโลยีที่ดูจะร้อนแรงไม่แพ้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลก

ที่มา: Carscoops