ในที่สุด Toyota ก็ถือเอาวันที่ 21 มิถุนายน 2023 เป็นฤกษ์งามยามดีในการเปิดตัว All NEW Toyota Alphard และ Vellfire ซึ่งเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญที่ถูกจับตามองเป็นอย่างมากโดยเฉพาะในตลาดแถบเอเชีย ในฐานะรุ่นเปลี่ยนโฉม Full Modelchange (เจเนอเรชั่นที่ 4) ที่จะเข้ามาสานต่อความสำเร็จของ MPV รุ่นยอดนิยมในกลุ่มลูกค้าครอบครัว และผู้บริหาร

การเปลี่ยนโฉมของ Alphard และ Vellfire ในครั้งนี้ นอกจากการยกระดับความหรูหราสะดวกสบาย เอาใจคนจ่ายเงินที่มักจะไม่ค่อยได้ขับ ยังมีการปรับปรุงในด้านงานวิศวกรรมเพื่อทำให้คนขับที่อาจไม่ใช่คนจ่ายเงิน รู้สึกดีเวลานั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถทั้ง 2 รุ่นนี้ด้วยเช่นกัน

 

All NEW Toyota Alphard และ Vellfire ถูกสร้างขึ้นบนแพลตฟอร์ม TNGA (GA-K) นอกจากการใช้โครงสร้างที่ทนต่อแรงดึงสูงแล้ว ยังมีการใช้ชิ้นส่วนที่เรียกว่า straight rockers หรือคานค้ำบริเวณโครงสร้างด้านหน้า และ V-shaped brace ซึ่งเป็นคานค้ำรูปทรงตัว V เชื่อมระหว่างกึ่งกลางตัวรถและเสาหลังคา C-Pillar ช่วยลดการบิดตัวของโครงสร้างเพิ่มขึ้นถึง 50% เมื่อเทียบกับรุ่นที่แล้ว

 

ขนาดและมิติตัวถังภายนอกของ Toyota Alphard และ Vellfire ใหม่ มีดังนี้
  • ความยาว 4,995 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,850 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,935 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ 3,000 มิลลิเมตร
  • ความกว้างล้อหน้า – หลัง 1,600 / 1,600 มิลลิเมตร
  • ระยะตำ่สุดใต้ท้องรถ  150 – 160 มิลลิเมตร (ขึ้นอยู่กับขนาดล้อและยาง)

 

ดีไซน์ภายนอกถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยธีมการออกแบบ “Forceful x Impact Luxury” หรือการสร้างความรู้สึกแข็งแกร่งบนความหรูหรา แน่นอนว่า Alphard และ Vellfire ใหม่ ยังคงมีดีไซน์ส่วนหน้าที่แตกต่างกันเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าหลากหลายวัย

Alphard ใหม่ ยังคงรักษาความหรูด้วยกระจังหน้ารูปตัว U คว่ำเอาไว้ ขนาบข้างด้วยชุดไฟหน้าที่ออกแบบเส้นไฟ Daytime Running Light ให้กลมกลืนกัน ขณะที่ Vellfire ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไฟหน้า 2 ชั้นเอาไว้ พร้อมกับกระจังหน้าที่ดูดุดันคล้ายหุ่นยนต์จากหนัง Sci-fi

 

เพื่อให้การก้าวขึ้น – ลงจากตัวรถทำให้สะดวกโยธินขึ้น ช่องบานประตูคู่หลังถูกออกแบบให้กว้างขึ้นเป็น 820 มิลลิเมตร พร้อมติดตั้งมือจับบริเวณเสา B-Pillar ความยาว 620 มิลลิเมตร มือจับบริเวณเพดานหลังคา ความยาว 315 มิลลิเมตร นอกจากนี้ ในรุ่น Executive Lounge ยังมาพร้อมบันไดไฟฟ้า Universal Step ที่สามารถเลื่อนเข้า – ออกได้ ระยะความสูงจากพื้นอยู่ที่ 220 มิลลิเมตร มีมาให้ครบทั้ง 2 ฝั่ง

 

รูปแบบของระบบกันสะเทือน ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPheson Strut ด้านหลังเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ Double Wishbone จับคู่กับช็อกอัพที่ปรับจูนใหม่ให้สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีขึ้น 20% ขณะเดียวกันก็ให้ความมั่นใจและความคล่องแคล่วในการแล่นอยู่ในย่านความเร็วที่สูงขึ้นด้วย

นอกเหนือจากการปรับปรุงระบบกันสะเทือน สิ่งที่ทำให้ผู้โดยสารที่นั่งอยู่บน Alphard และ Vellifre ใหม่เกิดความรู้สึกผ่อนสบายมากขึ้นคือการเสริมบุชยางบริเวณฐานเบาะส่วนที่ยึดกับพื้นห้องโดยสาร รวมถึงการใช้วัสดุเมมโมรีโฟมในส่วนรองนั่งและพนักวางแขนด้านข้าง ซึ่งสงวนไว้ในรุ่น Executive Lounge เท่านั้น

ภายในห้องโดยสารยังคงความหรูแบบเชื่อขนมกินได้ ดังจะเห็นได้จากแผงหน้าปัดหรือแผงแดชบอร์ดที่หุ้มด้วยวัสดุบุนุ่มเกือบจะทั้งหมด วัสดุหนังมีให้เลือกทั้งสีเบจ สีน้ำตาลอ่อน สีนำ้ตาลเข้ม และสีดำ ประดับด้วยไม้ 鶉木 (UZURAMOKU)

หน้าจอชุดมาตรวัดเป็นแบบ Full Digital ขนาด 12.3 นิ้ว สามารถปรับการแสดงผลได้ 4 รูปแบบ ได้แก่ Casual, Smart, Tough และ Sporty เสริมการทำงานด้วยระบบแสดงผลบนกระจกบังลมหน้า Head-up Display แบบสี ขณะที่หน้าจอกลางเป็นแบบกึ่งลอยตัว ขนาด 14 นิ้ว มาพร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม พร้อมชุดเครื่องเสียง Hi-Res Audio 10 ลำโพง ในรุ่นธรรมดา และชุดเครื่องเสียง JBL by Harman 12 ลำโพง ในรุ่น Executive Lounge

 

เหนือศีรษะผู้โดยสารแถวที่ 2 มาพร้อมหลังคากระจกแบบแยกฝั่งซ้ายขวา คาดด้วยชุดคอนโซล Super-Long Overhead Console ซึ่งประกอบไปด้วยไฟสร้างบรรยากาศ 64 เฉดสี สวิตช์เครื่องปรับอากาศโซนที่ 3 หน้าจอความบันเทิง ขนาด 14 นิ้ว พร้อมช่องเชื่อมต่อ HDMI-CEC รวมถึงแผงสวิตช์ควบคุมการเปิด – ปิดประตูสไลด์ และสวิตช์ควบคุมม่านบังแดดด้านข้างแบบเลื่อนจากบนลงล่าง

 

เบาะนั่งแถวที่ 2 ของรุ่น Executive Lounge สามารถเลื่อนขึ้นหน้า – ถอยหลังได้มากถึง 480 มิลลิเมตร และปรับส่วนต่างๆ ได้จากทั้งสวิตช์ด้านข้างเบาะ และหน้าจอ Tablet ขนาดกระทัดรัด มีโต๊ะพับอเนกประสงค์สำหรับวางคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังมีโปรแกรม Smart Comfort เอาไว้ปรับการนวดได้ 4 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Dream, Relax, Focus และ Enegize ด้วยเช่นกัน

 

บานฝาท้ายเป็นแบบเปิด – ปิดด้วยไฟฟ้า แต่เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบาย สวิตช์ควบคุมจึงถูกย้ายตำแหน่งมาติดตั้งบริเวณมุมไฟท้ายฝั่งซ้าย เมื่อเปิดบานท้ายขึ้นก็จะพบกับพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ตามสไตล์ MPV

เบาะนั่งแถวที่ 3 ยังคงใช้วิธีการพับเก็บแบบแขวนไว้ด้านข้าง ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับเอนและเลื่อนได้ด้วยสวิตช์ไฟฟ้า เมื่อเปิดพื้นห้องเก็บสัมภาระขึ้น จะพบกับชุดปะยางฉุกเฉินสำหรับรุ่น Hybrid และยางอะไหล่แบบชั่วคราวสำหรับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปล้วน

 

ขุมพลังของ All NEW Toyota Alphard / Vellfire เวอร์ชั่นญี่ปุ่น มีให้เลือก 3 รูปแบบ

เบนซิน 2.5 ลิตร (เฉพาะ Alphard)

เครื่องยนต์รหัส 2AR-FE เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร 2,493 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 90.0 x 98.0 มิลลิเมตร กำลังสูงสุด 182 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร ที่ 4,100 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ความจุถังนำ้มัน 75 ลิตร

เบนซิน 2.5 ลิตร Hybrid

เครื่องยนต์รหัส A25A-FXS เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.5 ลิตร 2,487 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 87.5 x 103.4 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct-injection D4-S ทำงานรวมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 250 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ E-FOUR ความจุถังนำ้มัน 75 ลิตร

เบนซิน 2.4 ลิตร Turbo (เฉพาะ Vellfire)

เครื่องยนต์รหัส T24A-FTS เบนซิน 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2.4 ลิตร 2,393 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 87.5 x 99.5 มิลลิเมตร ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงแบบ Direct-injection D4-ST พ่วงระบบอัดอากาศ Turbocharged กำลังสูงสุด 279 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 1,700 – 3,600 รอบ/นาที เกียร์อัตโนมัติ Direct-shift 8 จังหวะ จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ  Direct-shift 8 จังหวะ มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ความจุถังนำ้มัน 75 ลิตร

 

ด้านระบบความปลอดภัย Alphard และ Vellfire ใหม่ มาพร้อมโครงสร้างตัวถังที่ใช้โลหะทนแรงดึงสูงเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งติดตั้งถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยขั้นสูงและระบบช่วยเหลือการขับขี่ ดังนี้

  • แพ็คเกจความปลอดภัย Toyota Safety Sense
  • ระบบ Proactive Driving Assist
    • ช่วยลดความเร็วขณะถึงทางแยก เมื่อผู้ขับขี่ถอนคันเร่งและเปิดไฟเลี้ยว ระบบะลดความเร็วลงให้อัตโนมัติ
    • ช่วยปรับการตอบสนองของพวกมาลัยให้เลี้ยวได้อย่างนุ่มนวลขึ้น
  • ระบบเลื่อนถอยจอดควบคุมจากรีโมท (Remote Park)

 

สีตัวถังภายนอก มีให้เลือก 3 สี ดังนี้

  • สีนำ้ตาลทอง (เฉพาะ Alphard Executive Lounge)
  • สีขาว
  • สีดำ

 

(Toyota Alphard / Vellfire Modellista)

หลังจากเปิดตัว ณ แดนอาทิตย์อุทัย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่า All NEW Toyota Alphard และ Vellfire จะถูกนำมาเปิดตัวและทำตลาดในบ้านเราโดย Toyota Motor ประเทศไทย ก่อนเดือน สิงหาคม 2023 นี้

ข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดตามต่อได้ทาง www.Headlightmag.com

ที่มา : Toyota