Aston Martin สร้างปรากฏการณ์เขย่าวงการรถสปอร์ตหรูอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัว Valour ซุปเปอร์คาร์พลัง V12 ที่มีไฮไลท์อยู่ที่ระบบส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ พร้อมมอบความสนุกและอรรถรสในการขับขี่สูงสุด เป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 110 ปี ของแบรนด์ พร้อมผลิตจำนวนจำกัดเพียงแค่ 110 คัน และเป็นการนำแนวทางการออกแบบสไตล์เรโทรจากรุ่นเก่าแก่มาปรับใช้กับรุ่นนี้ได้อย่างเต็มเปี่ยม ที่คาดว่าจะเป็นรถสปอร์ตรุ่นสุดท้ายที่จะมาพร้อมทางเลือกเกียร์ธรรมดา

 

ภายนอกมาพร้อมแนวทางการออกแบบที่ผสมผสานเอกลักษณ์จากรถหลากรุ่นของค่าย ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบดวงกลมแบบ Full LED พร้อมกระจังหน้าซี่แนวนอนโครเมียมเส้นใหญ่ แผงสปอยเลอร์ด้านล่างคาร์บอนไฟเบอร์ขนาดใหญ่ระดับรถแข่ง GT ฝากระโปรงหน้าพร้อมช่องระบายความร้อนน้ำหนักเบาจากคาร์บอนไฟเบอร์ แก้มข้างมาพร้อมครีบรีดอากาศขนาดใหญ่ ทำให้กระแสลมที่ไหลผ่านด้านข้างตัวถังถูกจัดการอย่างเป็นระเบียบไปจรดกับซุ้มล้อคู่หลังขนาดมหึมา แต่แฝงไว้ด้วยความโค้งมนแบบเรียบง่าย

 

ล้ออัลลอยลายประณีตบรรจงขนาด 21 นิ้ว ช่วยเสริมภาพลักษณ์ความเรโทรได้เป็นอย่างดี พร้อมฝากรองกระจกบังลมหลังแบบครีบรีดอากาศย้อนยุคทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ สปอยเลอร์ฝาท้ายและกันชนหลังขนาดใหญ่พร้อมดิฟฟิวเซอร์ทรงแปลกตา ซ่อนไว้ด้วยไฟท้าย LED แบบขีดขนาดเล็ก เพื่อเน้นความดิบเถื่อนตามสไตล์รถแข่ง ท่อไอเสียแบบออก 3 ปลายท่อบริเวณกลางลำ

 

ภายในมาพร้อมวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบา แต่ไม่ทิ้งความหรูหราตามจุดสัมผัสต่างๆ รอบคัน ไม่ว่าจะเป็นหัวเกียร์ทรงย้อนยุคทำจากไม้ เบาะนั่งแบบ Bucket seat ขนาดใหญ่ พร้อมการประดับประดาด้วยลายไม้ดั่งเช่นรถสปอร์ตยุค 1950 อย่าง DBR1

 

เครื่องยนต์เบนซิน แบบ V12 ขนาด 5.2 ลิตร เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุด 715 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 753 นิวตัน-เมตร ที่ จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อคู่หลัง พร้อม limited-slip differential แบบกลไก พร้อมช่วงล่างทีได้รับการปรับแต่งเฉพาะรุ่น โดยได้มีการเพิ่มเติมคานและค้ำตัวถังทั้งหน้าและหลัง และมาพร้อมกับชุดจานเบรกแบบเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน คู่หน้ามาพร้อมคาลิปเปอร์แบบ 6 พอร์ต กับจานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 16 นิ้ว และคู่หลังแบบ 4 พอร์ต กับจานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 14 นิ้ว

 

Aston Martin ยังไม่เผยราคาจำหน่ายของ Valour ที่จะมีจำนวนจำกัดเพียง 110 คัน ในตอนนี้ แต่ได้เผยรายละเอียดการเดินสายพานการผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2023 ก่อนที่จะพร้อมส่งมอบภายในปีเดียวกัน

ที่มา: Motor1