หลังจากปล่อยให้รอกันเนิ่นนานด้วยการพรางตัวและทดสอบในสนามแข่งอยู่แรมปี ก็ถึงฤกษ์งามยามดีโดยการใช้เทศกาล Goodwood Festival of Speed เช่นเดียวกับค่ายอื่นๆ ในการเผยโฉม Hyundai Ioniq 5 N รถ EV สมรรถนะสูงรุ่นแรกภายใต้ตระกูล N และยังมีรุ่นอื่นๆ เตรียมคลอดออกตามมาอีก

รูปลักษณ์ภายนอกมาพร้อมกันแต่งองค์ทรงเครื่องชุดแต่งต่างๆ ที่มีเอกลักษณ์จากรถตระกูล N Series ไม่ว่าจะเป็นสีตัวถัง เฉพาะรุ่น พร้อม โชว์ชุดคาลิปเปอร์เบรกคู่หน้าแบบ 4 พอร์ท ทำงานร่วมกับจานเบรกเส้นผ่านศูนย์กลาง 400 มิลลิเมตร ขณะที่ด้านหลัง มาพร้อมคาลิปเปอร์เบรกแบบ 1 พอร์ท ทำงานร่วมกับจานเบรกเส้นผ่านศูนย์กลาง 360 มิลลิเมตร ทำให้กลายเป็นชุดเบรกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่ Hyundai เคยผลิตมา

 

นอกจากนี้ระบบ regenerative braking ยังสามารถให้แรงดึงสูงสุดกว่า 0.6G พร้อมการจัดการแรงเบรกเพื่อเอาชนะน้ำหนักมหาศาลของตัวรถได้เป็นอย่างดี ผ่านการปรับแต่งโปรแกรมมาโดยเฉพาะ รวมไปถึงการปรับแต่งคันเร่งให้ตอบสนองได้อย่างตรงไปตรงมา ภายใต้สภาวะในสนามแข่ง พร้อมการดึงศักยภาพจากระบบ regenerative braking เพื่อใช้ช่วยควบคุมความเร็วของล้อแต่ละข้างขณะเข้าโค้ง ช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วยิ่งขึ้น

ภายนอกมีมิติตัวรถที่กว้างกว่ารุ่นปกติ 40 มิลลิเมตร ยาวกว่าอยู่ 80 มิลลิเมตร เตี้ยลงกว่า 20 มิลลิเมตร พร้อมชุดแต่งรอบคันที่เน้นหลักอากาศพลศาสตร์ พร้อมล้ออัลลอย forged ขนาด 21 นิ้ว รัดด้วยยางจาก Pirelli P-Zero รุ่นเฉพาะ

 

ฟังก์ชั่นพิเศษอย่าง N Drift Optimizer ที่ช่วยให้สามารถรักษามุมองศาตัวรถขณะทำการ Drift ที่ช่วยส่งแรงเหวี่ยงตัวรถ คล้ายกับการใช้แป้นคลัทช์ในรถขับเคลื่อนล้อหลังเกียร์ธรรมดา พร้อมด้วย N Torque Distribution ที่ปรับระดับการส่งกำลังได้มากถึง 11 ระดับ ผ่าน limited-slip differential แบบไฟฟ้า

ภายในมาพร้อมกับพวงมาลัยเฉพาะจาก N พร้อมประทับตรา N ที่พวงมาลัยเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังติดตั้งปุ่มควบคุมการขับขี่ 4 ปุ่ม ได้แก่ ปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ ปุ่มเลือกโหมด N Grin Boost และปุ่ม preset ที่ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับตั้งได้เอง ไม่ว่าจะเป็นโหมดการขับขี่ การกระจายกำลัง และช่วงล่าง รวมไปถึงแป้น e-shift และ N Pedal หลังพวงมาลัย

อย่างไรก็ตาม Hyundai ไม่ลืมที่จะเพิ่มเติมอุปกรณ์เพื่อความสะดวกสบายยามขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นรองหัวเข่าและแผ่นกันกระแทกที่คอนโซลกลาง และยังมีที่วางแขนมาให้ยามต้องการผ่อนคลายบนถนน พร้อมเบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าลาย Pixel หรือหนัง Alcantara แบบสังเคราะห์รักษ์โลก โทนสีภายในมีแค่สีดำ ที่ตกแต่งด้วยทริมสีฟ้า Performance Blue เท่านั้น

 

ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ให้กำลังสูงสุด 609 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 740 นิวตัน-เมตร โดยสามารถเร่งได้สูงขึ้นเป็น 650 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 770 นิวตัน-เมตร ด้วยการใช้ฟังก์ชั่น N Grin Boost ที่จะมีให้ใช้แค่ 10 วินาที เท่านั้น
ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 84 kWh และสถาปัตยกรรม 800V พร้อม Ultra-fast charge จาก 10%-80% ภายในเวลา 18 นาที

  • อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 3.5 วินาที (ฟังก์ชั่น N Grin Boost 3.4 วินาที)
  • ความเร็วสูงสุด 260 กม./ชม.

 

นอกจากนี้ ยังติดตั้งระบบจัดการพลังงานภายในแบตเตอรี่ที่มีอยู่ โดยสามารถเลือกโหมดการทำงานในการใช้ในสนามแข่ง Track mode ในรูปแบบทำเวลาต่อรอบ โดยที่ยังมีการรักษาอุณหภูมิแบตเตอรี่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือจะเป็นโหมดการแข่ง Drag mode ที่จะทำการปล่อยพลังงานได้อย่างเต็มที่มากกว่า รวมไปถึงการปรับแต่งให้เข้ากับการขับขี่บนถนนสาธารณะ Road mode เพื่อให้ระยะทางสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเพิ่มเติม Endurance mode ที่เน้นการควบคุมพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การใช้งานในสนามแข่งอย่างหฤโหด โดยที่จะมีการจำกัดตัวเลขพละกำลังสูงสุดเอาไว้ และในทางกลับกัน Sprint mode จะเป็นการปลดปล่อยพลังสูงสุดเพียงชั่วขณะ

ทั้งหมดนี้จะสามารถทำงานร่วมกับระบบช่วยออกตัว หรือ N Launch Control ที่จะทำหน้าที่ควบคุมและกระจายแรงขับเคลื่อนขณะออกตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ

 

ไฮไลท์ของระบบส่งกำลังอยู่ที่การจำลองชุดเกียร์ 8 จังหวะแบบเสมือน หรือ N e-shift ภายใต้การทำงานระหว่างการส่งแรงบิดของมอเตอร์ให้มีแรงกระชาก สร้างอรรถรสในการขับขี่แบบดิบเถื่อน พร้อมระบบสร้างเสียงจำลอง หรือ N Active Sound + ที่ปล่อยเสียงออกมาได้สูงสุด 3 รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ ที่เลียนแบบเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร เทอร์โบชาร์จเจอร์ พร้อมเสียง Supersonic ขณะเข้าโค้งเปรียบเสมือนเครื่องบินรบที่กำลังทำการบินผาดโผน และเสียงเปลี่ยนเกียร์เสมือน

Ioniq 5 N จะมีให้เลือกมากกว่า 10 สี ด้วยกัน ได้แก่ สีฟ้าด้าน N Performance Blue Matte และสีน้ำเงิน N Performance Blue สีดำ Abyss Black Pearl สีเทา Cyber Gray Metallic สีเทาด้าน Ecotronic Gray Matte, สีเทา Ecotronic Gray สีขาว Atlas White สีขาวด้าน Atlas White Matte สีทองด้าน Gravity Gold Matte และสีส้ม Soultronic Orange Pearl โดยยังไม่ประกาศราคาจำหน่ายในขณะนี้ รวมไปถึงกำหนดการขายอย่างเป็นทางการ

ที่มา: Motor1