นายศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์  และนายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธาน และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่าล่าสุดนั้น ส.อ.ท.ได้ปรับเป้าหมายการผลิตรถยนต์ในปี 2566 ลดลงจากเดิม 2.56% หรือ 50,000 คัน จากจำนวน 1,950,000 คัน เป็น

1,900,000 คัน โดยปรับเฉพาะยอดผลิตเพื่อขายในประเทศจาก 900,000 คัน เหลือ850,000 คัน  เนื่องจากความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า (EV ) ซึ่งเป็นรถนำเข้าและไม่มีการผลิตในประเทศ ได้เข้ามาแชร์ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ใช้น้ำมันมากกว่า 5%

โดยในเดือนมิ.ย. 2566 มียอดจดทะเบียนใหม่ (ป้ายแดง) รถยนต์นั่งไฟฟ้า 100%หรือBEV 7,627 คัน คิดเป็นสัดส่วน 12.75% ของยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่งทั้งหมด เมื่อรวมยอดจดทะเบียนรถยนต์นั่ง BEV 6 เดือนแรก (ม.ค.-มิ.ย.2566) อยู่ที่ 31,517 คัน คาดว่าทั้งปี 2566 จะมียอดจดทะเบียนอีวีจะอยู่ 60,000-80,000 คัน เกินกว่าที่ประเมินไว้ในช่วงสิ้นปีที่แล้ว โดยขึ้นอยู่กับการนำเข้ารถอีวีราคาถูกจากจีนในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะมีมากเพียงใด

“ ต้องยอมรับว่ารถอีวีมาแรงมากในปีนี้ เพราะฉะนั้นจึงส่งผลให้เราต้องปรับยอดผลิตลง นอกจากนี้ ที่สำคัญคือหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูงขึ้น คิดเป็น 90.6% ของจีดีพี ทำให้สถาบันการเงินเพิ่มความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถยนต์ ส่งผลให้ยอดขายรถกระบะในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง บวกกับการส่งออกไทยที่ลดลงติดต่อกันถึง 8 เดือน ทำให้หลายอุตสาหกรรมลดกะการทำงาน คนงานขาดรายได้กำลังซื้อลดลง อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นและค่าครองชีพที่ขยับเพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนต้องระมัดระวังการใช้จ่าย “

นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมอย่างมากหลังจากที่รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV3) ทำให้ราคาถูกกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน รวมทั้งยังส่งเสริมให้มีการลงทุนผลิตรถอีวีในประเทศ อย่างไรก็ตามมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในปีนี้ โดยต้องจับตาว่ามาตรการ (EV3.5) ที่คณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) มีมติเสนอรัฐบาลใหม่ให้สนับสนุนโรงงานผลิตแบตเตอรี่และการผลิต 13 ชิ้นส่วนอีวีในประเทศ รวมถึงเงินอุดหนุนผู้ซื้อ ซึ่งหากไม่ต่อเนื่องก็อาจจะกระทบต่อการนำเข้าอีวีเพื่อมาจำหน่ายในปีหน้า รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้ผลิตรถอีวีที่จะมาลงทุนในไทย

สำหรับยอดการผลิตรถยนต์ในเดือนมิ.ย. 2566 มีทั้งสิ้น 145,557 คัน เพิ่มขึ้น 1.78%

จากปีก่อน รวม 6 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ที่ 921,512 คัน เพิ่มขึ้น 5.91% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการผลิตเพื่อส่งออกมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 57% จากปกติอยู่ที่ 54%

สำหรับยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปเดือนมิ.ย.2566 อยู่ที่ 88,826 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 20.22% จากการผลิตรถยนต์นั่งเพิ่มขึ้น 27.57% และรถ PPV เพื่อส่งออกเพิ่มขึ้น 96.51% จากการขยายตัวในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย ตะวันออกกลาง ยุโรป อเมริกาเหนือ มูลค่าการส่งออก 55,925.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.72% ส่งผลให้ยอดการส่งออกรถยนต์ 6 เดือนแรก อยู่ที่ 528,816 คัน เพิ่มขึ้น 17.61% รวมมูลค่าส่งออก 6 เดือน อยู่ที่ 443,350.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.26% จากช่วงเดียวกันปีก่อน


10 อันดับ รถยนต์ที่กวาดยอดขายสูงสุดในประเทศไทย ครึ่งปีแรก 2023/2566

อันดับ 1 Isuzu D-Max ยอดขาย 66,680 คัน


อันดับ 2 Toyota Hilux Revo ยอดขาย 58,782 คัน


อันดับ 3 Toyota Yaris ATIV ยอดขาย 28,319 คัน 


อันดับ 4 Ford Ranger ยอดขาย 13,830 คัน 


อันดับ 5 Honda HR-V ยอดขาย 12,483 คัน 


อันดับ 6 Isuzu MU-X ยอดขาย 11,953 คัน


อันดับ 7 Toyota Fortuner ยอดขาย 11,762 คัน


อันดับ 8 Honda City Hatchback ยอดขาย 11,383 คัน 


อันดับ 9 Toyota Corolla Cross ยอดขาย 10,203 คัน 


อันดับ 10 Honda City Sedan ยอดขาย 9,513 คัน  


รวบรวมข้อมูลโดย Headlightmag.com / Kanittha Panthong


แสดงความคิดเห็นได้ที่นี่ Click Here