หลังจากมีข่าวเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการของแบรนด์รถ EV ที่กำลังมาแรงแซงโค้งอย่าง GAC Aion บริษัทในเครือ GAC Group (Guangzhou Automobile Group Co., Ltd.) ภายหลังมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการทุ่มเงินลงทุนจำนวน 6,400 ล้านบาท เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม EEC จังหวัดระยอง สำหรับการจำหน่ายรถยนต์ทั้งในและนอกประเทศไทย โดยเฉพาะในโซน ASEAN ยิ่งไปกว่านั้น GAC Aion ยังได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) อย่างเป็นทางการกับ บริษัท โกลด์ อินทิเกรท จำกัด (Gold Integrate) ซึ่งจะเป็นตัวแทนจำหน่ายและให้บริการหลังการขายในประเทศไทยอีกด้วย
ทาง Headlightmag จึงได้นำรายงานยอดขายของแบรนด์น้องใหม่ในประเทศบ้านเกิดมาเผยให้ชมกันเป็นการเรียกน้ำย่อย โดยยอดขายในเดือนกรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมาของ GAC Aion ที่ขายไปได้มากกว่า 45,025 คัน ซึ่งมีอัตราการเติบโตกว่า 80% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2022 ที่ผ่านมา
ยิ่งไปกว่านั้น รายงานยอดขายสะสมนับตั้งแต่เดือนมกราคม จนถึงเดือนกรกฎาคม 2023 จะพบว่า GAC Aion ขายไปได้มากกว่า 254,361 คัน หรือคิดเป็นอัตราเติบโตกว่า 103% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022
นอกจากนี้ยังมี การเปรียบเทียบข้อมูลจากการจดทะเบียนขึ้นบัญชีประกันภัยรถยนต์ใหม่เฉพาะกลุ่มรถ EV ของประเทศจีน ซึ่งพบว่า GAC Aion อยู่ในอันดับที่ 2 รองจาก BYD ขณะที่อันดับที่ 3 ได้แก่ Tesla ทั้งนี้ทางค่ายยังได้เปิดตัวรถยนต์ซีดานเกรดพรีเมียมขนาดกลางกลุ่มพลังไฟฟ้าล้วนรุ่น Hyper GT เพื่อลงสู้ศึกกับรถยนต์จากแบรนด์ต่างชาติ โดยเฉพาะ Tesla ซึ่งรถรุ่นนี้ก็ได้กวาดยอดขายไปได้มากกว่า 2,011 คัน ภายหลังเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม โดยรถรุ่นนี้ยังมีจุดเด่นด้วยการพัฒนาบนงานวิศวกรรมพื้นฐานใหม่หมดจด AEP 3.0 platform
ดังนั้น หากพิจารณาอัตราการเติบโตของแบรนด์ที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วน อย่าง Aion เมื่อเทียบกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วน โดยรวมในประเทศจีน จะพบว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2023 Aion มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเกิน 100% ขณะที่ตลาดรถ EV ทั้งหมดเติบโตที่ 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2022 ยิ่งไปกว่านั้น ยอดขายในแต่ละเดือนของ Aion นับตั้งแต่เปิดศักราชมา อยู่ในระดับเกิน 40,000 คันต่อเดือน จึงอาจส่งผลให้ยอดขายรวมทะลุ 450,000 คันภายในสิ้นปี 2023 นี้
ความท้าทายหลักของแบรนด์ในตอนนี้ คือการเพิ่มทางเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น และมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่าราคาเฉลี่ยในปัจจุบัน เพื่อสามารถแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากรถยนต์กลุ่มอื่นๆ ได้ เพื่อไม่ให้มีเพียงรถยนต์ขุมพลัง ไฟฟ้าล้วนราคาประหยัดที่จะสามารถขับเคลื่อนและสร้างความก้าวหน้าให้กับแบรนด์ได้เท่านั้น
ที่มา: Carnewschina
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: