Nissan Terra เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่ประเทศจีน ในเดือนเมษายน 2018 ด้วยเครื่องยนต์รหัส QR25DE เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร ไร้ระบบอัดอากาศ ก่อนจะตามมาด้วยตลาดฟิลิปปินส์ในเดือนต่อมา ด้วยเครื่องยนต์รหัส YD25DDTi ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.5 ลิตร หลังจากนั้นก็เปิดตัวในประเทศอินโดนีเซียในเดือนสิงหาคม 2018 และปิดท้ายด้วยประเทศไทย ที่เปิดตัวเวอร์ชั่นเครื่องยนต์รหัส YS23DDTT ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.3 ลิตร เทอร์โบคู่ ในเดือนสิงหาคม 2018

จนกระทั่งได้รับการปรับโฉมเมื่อปี 2020 เป็นครั้งแรกที่ตลาดตะวันออกกลาง ภายใต้ชื่อ X-Terra ซึ่งมีให้เลือกเพียงแค่เครื่องยนต์เบนซินเท่านั้น ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบคู่เปิดตัวแห่งแรกในโลกที่ประเทศไทย เมื่อเดือนสิงหาคม 2021 แต่ก็ยังต้องกระตุ้นตลาดอีกระลอก ด้วยการออกรุ่นย่อย Sport ตกแต่งด้วยภายนอกสีดำเงา เสริมมาดสปอร์ตให้เป็นทางเลือกเพิ่มเติม

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณายอดขายของ Terra โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย ที่เคยมีการยุติการทำตลาดตั้งแต่ปี 2020-2022 ที่ผ่านมา เนื่องจากขายไปได้เพียง 2,757 คัน ตลอดอายุตลาด 3 ปี จนได้กลับมาเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชจน์อีกครั้ง เมื่อเดือนสิงหาคม 2022 ก่อนที่จะพร้อมขายเมื่อเดือนมีนาคม 2023 ที่ผ่านมา

อีกทั้งยอดขายสะสมของประเทศฟิลิปปินส์ในปี 2023 นับตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนมิถุนายน กลับขายไปได้เพียง 2,322 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของรถกลุ่มเดียวกันเพียง 12.6% และ คิดเป็นสัดส่วน 17.6% ของยอดขายรวมในประเทศฟิลิปปินส์ ขณะที่รถยนต์รุ่นที่ขายดีที่สุดในตลาดประเทศฟิลิปปินส์ได้แก่ Navara

 

หากหันมามองยอดขายของ Navara ในประเทศไทยจะพบว่า ยอดขายในประเทศฟิลิปปินส์ยังคงมีจำนวนมากกว่า ตามที่ Nissan ได้ตั้งเป้าหมายตั้งแต่เริ่มเปิดตัวครั้งแรก ขณะที่ในตลาดอินโดนีเซียราคาจำหน่ายของ Navara นั้นก้าวกระโดดเนื่องจากโครงสร้างทางภาษี รวมไปถึงยอดขายในประเทศจีนที่ไม่ได้มีจำนวนมากจนเป็นที่น่าพอใจ ถึงแม้ว่าจะมีการผลิต และ ขึ้นโดยโรงงานในภูมิภาคเดียวกันก็ตาม

เมื่อพิจารณาผลตอบรับทางยอดขายของ Terra ในปัจจุบัน ทำให้ได้ข้อสรุปว่า ศักยภาพการแข่งขันของรถยนต์รุ่นนี้ในตลาด ที่ มีความนิยมรถตัวถัง SUV / PPV แบบเดียวกันอยู่พอสมควร แต่กลับไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งในตลาดได้ จึงเป็นที่มาของการ พิจารณายกเลิกรุ่นต่อไปในขณะนี้ จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้

ที่มา: Autoindustriya