ขณะที่โลกยานยนต์กำลังพุ่งเป้าไปที่รถ EV กันอย่างถ้วนหน้า หลายท่านคงคิดว่ากระแสนิยมรถ Hybrid จะค่อยๆลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่นั่นไม่ใช่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตลาดรถยนต์ในอเมริกาเหนือ เมื่อนักวิเคราะห์การตลาดได้รวบรวมสถิติยอดขายย้อนหลังของรถยนต์ที่ติดตั้งขุมพลัง Full hybrid และ Plug-in hybrid ที่ยังมีโอกาสในการเติบโตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ โดยเฉพาะในตลาดอเมริกาเหนือ

เมื่ออ้างอิงจากผลการศึกษาสถิติยอดขายรถยนต์ในสหรัฐอเมริกาจาก S&P Global Mobility จะพบว่า ในอีก 5 ปี ข้างหน้านี้ สัดส่วนของขุมพลังในแต่ละรูปแบบจะมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น โดยที่ขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน พร้อมด้วยรูปแบบ Mild-hybrid จะมีสัดส่วนมากกว่า 40% ขณะที่รถ EV มียอดขายกว่า 37% ซึ่งมากกว่ายอดขายของรถ hybrid ที่อาจขายได้มากกว่า 24% เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายในปี 2023 นี้ ที่ยอดขายของรถกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนรวมกับรูปแบบ Mild-hybrid ขายไปได้มากกว่า 84% ขณะที่ยอดขายของรถ EV ที่มีส่วนแบ่ง 9% ก็ยังมากกว่า รถ Hybrid ที่ขายได้ 7% ในปัจจุบันนี้

 

สาเหตุที่ยอดขายรถ EV อาจไปไม่ถึงฝั่งฝัน ได้แก่ ราคาจำหน่ายที่สูงเกินเอื้อมถึงได้ ระยะการเดินทางต่อ 1 รอบการชาร์จที่มีอยู่จำกัด รวมไปถึงระยะเวลาในการชาร์จนานเกินที่ยอมรับได้ และที่สำคัญ เครือข่ายสถานีชาร์จที่ยังไม่ครบคลุมอีกหลายพื้นที่ ซึ่งเหตุผลข้อสุดท้ายนี้ ยังถือว่าเป็นปัญหาที่น่าสนใจเนื่องจากความคาดหวังของผู้บริโภคมีมากกว่าศักยภาพของการติดตั้งจริงในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม ค่ายรถยนต์บางค่ายที่เคยประกาศแผนการดำเนินธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ ถึงแนวทางของขุมพลังไฟฟ้าล้วนที่จะเข้ามาแทนที่เครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยไม่มีพื้นที่ให้กับขุมพลัง hybrid แต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น General Motors และ Stellantis ก็ได้กลับลำหันมาเพิ่มทางเลือกขุมพลัง hybrid กันอย่างต่อเนื่อง

 

ขณะที่ค่ายที่โดดเด่นด้านขุมพลัง hybrid อย่าง Toyota ก็ยังเดินหน้ารุกตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้เปิดตัว prius เจเนอเรชั่นที่ 5 ไปหมาดๆ พร้อมด้วยกองทัพรถ SUV ขุมพลัง hybrid จาก Lexus อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง Ford ก็ได้เตรียมเปิดตัวขุมพลัง hybrid อีกกว่าหลายรุ่น ทั้งในรูปแบบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานไอเสียที่กำลังเข้มงวดขึ้นปีต่อปี

ที่มา: Carscoops