หลังจาก Mazda อัพเดทอุปกรณ์ให้กับ 2 ในตลาดญี่ปุ่นบ้านเกิด ทางภูมิภาคยุโรป ที่ทางค่ายเน้นขายรถ Hatchback ที่นำ Toyota Yaris TNGA ขุมพลัง Hybrid มาต่อยอดเป็น Mazda 2 hybrid ออกวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2021 ก็ได้ฤกษ์ปรับโฉมในปี 2023 ในช่วงกลางอายุตลาด และเป็นการเพิ่มอัตลักษณ์ความเป็น Mazda มากยิ่งขึ้น

 

ด้วยงานออกแบบด้านหน้ามาพร้อมกันชนหน้าชิ้นใหม่ กระจังหน้าออกแบบใหม่ โดยได้ผสมผสานธีมการออกแบบของค่าย Mazda เข้าไปจนสามารถมองได้เพียงผิวเผินว่าเป็นรถของ Mazda ไม่ใช่เป็นเพียงการแปะตราเท่านั้นเหมือนรุ่นปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ไฟคู่หน้ายังคงใช้ร่วมกันกับ Toyota Yaris TNGA รวมไปถึงด้านข้างของตัวรถยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีเพียงล้ออัลลอยชุดใหม่ ในส่วนด้านท้ายที่มีการออกแบบคิ้วคาดฝากระโปรงหลังใหม่ ทำสีเดียวกับตัวรถซึ่งแตกต่างจาก Toyota ที่เลือกทำสีดำเงา สร้างความแปลกใหม่ให้กับรุ่นปรับโฉมนี้มากยิ่งขึ้น

 

ภายในมาพร้อมกับจอกลางขนาดใหญ่ 10.5 นิ้วเป็นออฟชั่นในรุ่น Homura Plus นอกเหนือจากขนาด 9 นิ้ว ที่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่น Prime พร้อมการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย พร้อมด้วยจอมาตรวัดแสดงผลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้วชุดใหม่ เป็นออฟชั่นสำหรับรุ่นบน ขณะที่รุ่นล่างจะได้จอขนาด 7 นิ้ว แทน โดดเด่นด้วยกุญแจแบบ Digital สั่งการตัวรถผ่านสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นการล็อค-ปลดล็อค การควบคุมระบบปรับอากาศ ระบบไฟส่องสว่าง ปิดท้ายด้วยการอัพเดทแบบ Over-the-Air (OTA) ตามสมัยนิยม

 

มาพร้อมขุมพลัง Hybrid ที่ถุกปรับปรุงใหม่โดย Toyota และนำไปใช้กับ Yaris hybrid TNGA เมื่อกลางปี 2023 ที่ผ่านมา โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน M15A-FXE แถวเรียง 3 สูบ ขนาด 1.5 ลิตร 1,490 ซีซี. กระบอกสูบ x ระยะช่วงชัก : 80.5 x 97.6 มิลลิเมตร กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 120 นิวตัน-เมตร ที่ 3,800 – 4,800 มิลลิเมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า INM AC Synchonous Motor ที่มีแรงบิดสูงสุด 185 นิวตัน-เมตร ให้พละกำลังรวม 114 แรงม้า ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ Lithium-ion 4.3 Ah จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ E-CVT ขับเคลื่อนล้อหน้า

  • อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายในเวลา 9.7 วินาที
  • ความเร็วสูงสุด 175 กิโลเมตร/ชั่วโมง

 

Mazda กำลังมุ่งหน้าแนะนำขุมพลัง Hybrid และขุมพลังไฟฟ้าล้วน ที่ใช้เครื่องยนต์โรตารี่เข้ามาช่วยสร้างกระแสไฟฟ้า นอกเหนือไปจากการชาร์จพลังงานไฟฟ้าเข้าไปเก็บภายในแบตเตอรี่ ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวในประเทศไทยต่อไป และทาง Headlightmag จะนำมาอัพเดทให้ทราบกันอีกครั้ง

ที่มา: Motor1