Skoda เปิดตัว Kodiaq รถ SUV พี่ใหญ่รุ่นที่ 2 เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2023 หลังจากปล่อย Teaser ออกมาหลายระลอก พร้อมด้วยธีมการออกแบบใหม่ ที่ยกเครื่องเส้นสายให้มีความทันสมัยและเรียบง่ายมากกว่ารุ่นแรก นอกจากนี้ยังเน้นไปที่การปรับปรุงภายในตัวรถ ให้มีการใช้งานที่ง่ายขึ้น โดยที่ยังคงไว้ซึ่งปุ่มกดและปุ่มหมุนแบบดั้งเดิม ที่ได้เพิ่มเติมการแสดงผลตามการใช้งาน ทำงานร่วมกับจอกลางขนาดใหญ่ แต่ไม่ทำให้ประสบการณ์ใช้งานรถยนต์สูญเสียไป เพื่อตอกย้ำความนิยมจากยอดขายกว่า 841,900 ของรุ่นแรก

 

มิติตัวรถใกล้เคียงกับรุ่นปัจจุบัน โดยมีความยาวมากกว่าเดิม 61 มิลลิเมตร จนทำให้ตัวรถมีสัดส่วนดูเป็นรถ SUV oversize เกินพิกัดกลุ่มเดียวกันเล็กน้อย โดยที่ยังมีระยะฐานล้อยาวเท่าเดิม ขณะที่ความกว้างกลับลดลงเล็กน้อย งานออกแบบด้านหน้ามาพร้อมกับความทันสมัยด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ ซี่แนวตั้งอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ พร้อมด้วยไฟหน้า 2 ชั้น พร้อมออฟชั่นระบบ matrix LED เจเนอเรชั่นที่ 2 ที่ประกอบไปด้วยชุดหลอดย่อยจำนวนมากกว่าเดิมถึง 50% โดยจะให้ลำแสงที่มากกว่ารุ่นแรกถึง 15% โดยจะติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น Sportline ที่สามารถเลือกติดตั้งพร้อมกันกับไฟตกแต่งบริเวณกระจังหน้าเพิ่มภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้น

 

ด้านข้างมาพร้อมกับเส้นสายเรียบหรู เพิ่มเติมการตกแต่งบริเวณเสา D ด้วยวัสดุสีเงิน ซึ่งเข้าชุดกันกับวัสดุตกแต่งส่วนอื่นๆ ของตัวรถ ขณะที่รุ่น Sportline จะมาพร้อมวัสดุตกแต่งเหล่านี้สีดำเงา ขณะที่ล้ออัลลอยมีให้เลือกตามแต่ละรุ่นย่อย ขนาดตั้งแต่ 17-20 นิ้ว และมีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 9 สี พร้อมสีทอง Bronx Gold Metallic ใหม่

มิติตัวรถ

  • ความยาว 4,758 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,864 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,659 มิลลิเมตร
  • ระยะฐานล้อ 2,971 มิลลิเมตร

 

ภายในยังคงไว้ซึ่งปรัชญาการออกแบบที่เรียบง่าย ติดตั้งปุ่มควบคุมแบบหมุนขนาดใหญ่เป็นจอดิจิตอลขนาด 1.25 นิ้ว สำหรับควบคุมฟังก์ชั่นต่างๆ โดยไม่ต้องละสายตามามองจอกลางแต่อย่างใด ถึงแม้จอจะมีขนาดใหญ่ถึง 13 นิ้ว แต่ทาง Skoda ได้เล็งเห็นว่า ปุ่มควบคุมยังคงมีความจำเป็นอยู่เพื่อให้ประสบการณ์ขับขี่ที่เป็นเอกลักษณ์ของต่างค่าย ซึ่งได้ถูกออกแบบให้เป็น Smart dials ที่มาพร้อมหน้าจอสี โดยปุ่มหมุน 2 วง ด้านนอก จะใช้สำหรับการควบคุมระบบปรับอากาศสำหรับฝั่งผู้ขับขี่และฝั่งผู้โดยสารตามลำดับ ขณะที่ปุ่มควบคุมอันกลางจะสามารถควบคุมได้หลากหลายฟังก์ชั่น ได้แก่ ระดับเสียง ความแรงของพัดลมแอร์ ทิศทางของลมแอร์ การควบคุมฟังก์ชั่นระบบปรับอากาศแบบ Smart รวมไปถึงใช้สำหรับขยายภาพหน้าจอกลางและปรับโหมดการขับขี่

 

นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ head-up display ควบคู่กับหน้าจอมาตรวัดขนาด 10 นิ้ว ขณะที่คันเกียร์ได้ถูกย้ายมาไว้ที่คอพวงมาลัยแทนที่บริเวณคอนโซลกลาง เพื่อเพิ่มพื้นที่การเก็บของได้มากขึ้น เพิ่มเติมความสบายยามขับขี่ด้วยเบาะนั่งที่คำนึงถึงความสบายเป็นหลัก พร้อมระบบนวดแผ่นหลัง

ห้องเก็บสัมภาระที่ขยายขนาดใหญ่ขึ้นในรุ่นเบาะนั่ง 2 แถว จาก 835 เป็น 910 ลิตร และเมื่อพับเบาะแถวที่ 2 จะเพิ่มขึ้นเป็น 2,105 ลิตร มากกว่ารุ่นแรกอยู่ 40 ลิตร ขณะที่รุ่นเบาะ 3 แถว มีพื้นที่เหนือศีรษะเพิ่มขึ้น 15 มิลลิเมตร พร้อมด้วยมีพื้นที่เก็บสัมภาระหลังเบาะแถวที่ 3 จำนวน 340 ลิตร และเมื่อพับเบาะลงจะเพิ่มขึ้นเป็น 845 ลิตร หากยังไม่เพียงพอยังเพิ่มขึ้นเป็น 2,035 ลิตร เมื่อพับเบาะแถวที่ 2 ลง

(SportLine)

ยังไม่ลืมที่จะติดตั้งอุปกรณ์สำหรับผู้โดยสารทุกที่นั่งอย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ช่องชาร์จ USB-C จำนวนกว่า 4 ตำแหน่ง ที่จ่ายกำลังไฟสูงถึง 45W พร้อมด้วยช่อง USB-C สำหรับติดตั้งกล้องบันทึกภาพด้านหน้าบริเวณกระจกมองหลัง เครื่องเสียงมาตรฐานจำนวน 9 ลำโพง พร้อมออฟชั่น เครื่องเสียงจาก Canton จำนวน 14 ลำโพง โดดเด่นด้วยแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สายจำนวน 2 ตำแหน่ง ที่มาพร้อมระบบระบายความร้อนในตัว

ขุมพลังที่เลือกใช้ร่วมกันกับ VW Group รุ่นอื่นๆ ได้แก่

เบนซิน Mild hybrid

  • รุ่น 1.5 eTSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48Vกำลังสูงสุด 20 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
    เบนซิน TSI (รหัส EA888 evo4)
  • รุ่น 2.0 TSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TSI 4MOTION เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

(รุ่น PHEV)

ดีเซล TDI

รุ่น 2.0 TDI ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
รุ่น 2.0 TDI 4MOTION ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

 

เบนซิน Plug-in hybrid

  • รุ่น eHybrid เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า และทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 25.7 kWh และสามารถวิ่งด้วย EV mode ได้ระยะทางสูงสุด 100 กิโลเมตร สามารถชาร์จได้ด้วยไฟฟ้ากระแสตรงกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 50 kW และไฟฟ้ากระแสสลับกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 11 kW

Skoda จะพร้อมส่งมอบ Kodiaq รุ่นที่ 2 ในภูมิภาคยุโรป ตั้งแต่ต้นปี 2024 เป็นต้นไป

ที่มา: Motor1