Skoda เปิดตัวรถเรือธงรุ่น Superb ทั้งในรูปแบบตัวถัง Fastback ซ่อนรูปและ Estate เจเนอเรชั่นที่ 4 ขณะที่เพื่อนร่วมชายคา Volkswagen Group บนงานวิศวกรรมพื้นฐานเดียวกันอย่าง Passat กลับเหลือเพียงตัวถัง Estate ให้เลือกเท่านั้น โดยยังคงแนวคิดการออกแบบที่เน้นการใช้งานภายในครอบครัวหรือองค์กร ที่ต้องการรถยนต์ขนาดกลางที่มีพื้นที่ห้องโดยสารและห้องเก็บสัมภาระใหญ่เกินตัว ซึ่งคู่แข่งในกลุ่มนี้ได้ทยอยล้มหายตายจากไป หลังจากได้รับผลกระทบจากกระแสความนิยมรถ SUV จึงเหลือเพียง Peugeot 508 Mazda 6 และ Toyota Camry

 

เส้นสายภายนอกอ้างอิงแนวทางการออกแบบจากรถ SUV ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปก่อนหน้าอย่าง Kodiaq ทำให้ตัวรถทั้ง 2 รูปแบบตัวถังมีความปราดเปรียวยิ่งขึ้น โดยมีสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศเหลือเพียง 0.23 ลดลงจากรุ่นก่อนหน้า 10% ในตัวถัง Fastback และลดลงเหลือ 0.25 ในตัวถัง Estate หรือคิดเป็น 15% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ทั้ง 2 รุ่นมีสีตัวถังให้เลือกจำนวนทั้งหมด 8 สี โดยมี 6 สีใหม่ได้แก่ สีขาว Purity White สีเหลือง Ice Tea Yellow สีฟ้า Cobalt Blue สีดำ Ebony Black สีแดง Carmine Red สีเงิน Pebble Silver

 

ภายในมีการปรับใหญ่เช่นเดียวกับ Kodiaq ด้วยการเปลี่ยนมาใช้แนวทางการออกแบบไร้ปุ่มควบคุมที่เกินความจำเป็น แต่ได้เปลี่ยนมาใช้ปุ่มหมุนสารพัดประโยชน์หรือ Smart Dial ซึ่งมาพร้อมจอสัมผัสขนาด 1.25 นิ้ว ที่สามารถใช้ควบคุมโหมดการขับขี่ ความดัง-เบาของชุดเครื่องเสียง และแรงลมของพัดลมแอร์ทิศทางการเป่าลม และการทำงานของระบบปรับอากาศอัจฉริยะ ซึ่งสามารถเลือกได้ 4 ฟังก์ชั่นจากหน้าจอศูนย์ควบคุมกลางขนาด 10 หรือ 13 นิ้ว โดยยังมีปุ่มหมุนควบคุมขนาบทั้ง 2 ข้างแบบปกติ เพื่อปรับฟังก์ชั่นอุณหภูมิภายในห้องโดยสาร การอุ่นเบาะและการเป่าลบเบาะ

 

นอกจากนี้ยังมาพร้อมหน้าจอมาตรวัดแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 10 นิ้ว เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมด้วยออฟชั่นหน้าจอ Head-up display เป็นครั้งแรกของรุ่น Superb

ออฟชั่นสุดหรูหราในรุ่นท๊อป Laurin & Klement อย่างช่วงล่างแบบแปรผันตามสภาพถนน ไฟหน้าแบบ Matrix LED ที่สว่างกว่าเดิมมากถึง 40% พร้อมด้วยชุดเครื่องเสียงพรีเมี่ยม 14 ลำโพง จาก Canton sound system เบาะนั่งพร้อมระบบนวด และวัสดุหุ้มภายในและเบาะนั่งแบบพิเศษ

ขณะที่ความจุห้องเก็บสัมภาระของรุ่น Fastback เพิ่มขึ้นอีก 20 ลิตร เป็น 645 ลิตร และเพิ่มขึ้นอีก 30 ลิตร เป็น 690 ลิตร ในรุ่น Estate

 

ขุมพลังที่เลือกใช้ร่วมกันกับ VW Group รุ่นอื่นๆ ได้แก่

เบนซิน Mild hybrid

  • รุ่น 1.5 eTSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 48Vกำลังสูงสุด 20 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
    เบนซิน TSI (รหัส EA888 evo4)
  • รุ่น 2.0 TSI เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TSI 4MOTION เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

 

ดีเซล TDI

  • รุ่น 2.0 TDI ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า
  • รุ่น 2.0 TDI 4MOTION ดีเซล 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุด 193 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 7 จังหวะ ผ่านล้อทั้ง 4

 

เบนซิน Plug-in hybrid (เฉพาะตัวถัง Estate)

รุ่น eHybrid เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์แบบ variable-geometry turbocharger (VTG) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้กำลังสูงสุด 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ DSG 6 จังหวะ ผ่านล้อคู่หน้า และทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ความจุ 25.7 kWh และสามารถวิ่งด้วย EV mode ได้ระยะทางสูงสุด 100 กิโลเมตร สามารถชาร์จได้ด้วยไฟฟ้ากระแสตรงกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 50 kW และไฟฟ้ากระแสสลับกำลังไฟฟ้าสูงสุดถึง 11 kW

Skoda จะพร้อมส่งมอบ Superb ในภูมิภาคยุโรป ตั้งแต่ต้นปี 2024 เป็นต้นไป ภายใต้กำลังการผลิตที่โรงงานในประเทศ Slovakia แทนที่ Czech Republic ร่วมกับ Volkswagen Passat

ที่มา: Motor1