BMW เป็นค่ายที่ยังคงใช้งานวิศวกรรมร่วมกันระหว่างรถ EV และรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมไปถึงการมีทางเลือกที่หลากหลายเท่าที่จะทำได้ ในแต่ละตลาดที่เข้าไปเจาะกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังคำนึงถึงกระบวนการต่างๆ ตลอดสายพานการผลิต ทั้งการผลิตชิ้นส่วนและกระบวนการผลิต ที่รถยนต์สันดาปและรถ EV จะสามารถใช้พื้นที่ร่วมกันได้มากที่สุด

Oliver Zipse หรือ CEO ของค่ายใบพัดฟ้าขาวได้กล่าวในงานประชุมทางเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศเยอรมันว่า “BMW จะไม่ทอดทิ้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน เราไม่เคยประกาศกร้าวที่จะหยุดผลิตเครื่องยนต์เบนซินและดีเซลในอนาคตอันใกล้นี้แต่อย่างใด เนื่องจากผลสำรวจลูกค้าของทางค่าย ยังคงมีประชากรส่วนมากที่ยังไม่พร้อมจะเข้าสู่ยุคของขุมพลังไฟฟ้าล้วน” อีกทั้งตัวเขาเองยังเคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ในเนื้อความทำนองเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อโลกกำลังจะหันหน้าและจับมือแบนเครื่องยนต์สันดาปภายในในเร็ววันนี้ เนื่องจากผลกระทบที่ตามมาต่ออุตสาหกรรมมวลรวม

 

และถึงแม้สัดส่วนของรถ EV กำลังเพิ่มมากขึ้นในหลายภูมิภาคทั่วโลก แต่ยอดขายของรถที่ยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปยังคงลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นั่นหมายความว่า สัดส่วนที่เพิ่มของ EV เมื่อเทียบกับรถยนต์เครื่องสันดาปที่ลดลง ไม่เป็นไปตามกันแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น การเข้ามาของรถ EV จำนวน 1 คัน ไม่ได้ทำให้รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปหายไปจำนวน 1 คัน

ปัจจัยที่ทาง CEO เน้นและผู้ผลิตรถยนต์ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ เชื้อเพลิงสังเคราะห์ที่จะเปลี่ยนหน้าฉากวงการเครื่องยนต์สันดาป และเป็นการต่อลมหายใจให้กับบรรดารถยนต์จำนวนกว่า 1.2 พันล้านคันบนโลกนี้ ที่ยังคงพึ่งพาเครื่องยนต์สันดาปอยู่ คงเป็นการยากที่รถยนต์จำนวนเท่านี้จะถูกกำจัดไปโดยฉับพลัน

 

ยิ่งไปกว่านั้น BMW ยังเล็งเห็นความสำคัญของขุมพลังทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะ hydrogen fuel cell ที่ทางค่ายได้พัฒนามาแล้วกว่า 20 ปี อีกทั้งยังได้จับมือกับยักษ์ใหญ่จากแดนปลาดิบอย่าง Toyota เพื่อต่อยอดการพัฒนาและนำไปใช้ในการผลิตจำหน่ายจริง โดยได้เปิดตัวรถ SUV ขุมพลังไฮโดรเจน iX5 รุ่นใหม่ ที่สามารถวิ่งได้ไกลสุดถึง 480 กิโลเมตร จากการเติมเชื้อเพลิงไฮโดรเจนเพียงไม่กี่นาที

เป็นที่น่าจับตามองว่า BMW จะสามารถตั้งมั่นอยู่บนแนวความคิดนี้ได้อย่างหนักแน่นหรือไม่ อนาคตอันใกล้นี้จะเป็นผู้ตอบคำถาม

ที่มา: Autoblog