ยอดขายของ Toyota ตลอดปี 2023 จำนวนกว่า 11,233,039 คัน ทำให้ค่ายสามห่วงจากแดนปลาดิบสามารถคว้าตำแหน่งแชมป์ยอดขายรถยนต์เบอร์ 1 ของโลกได้สำเร็จ ภายใต้แรงกดดันและเสียงวิจารณ์จากฝั่งผู้สนับสนุนรถ EV ถึงความล่าช้าและประสิทธิภาพของขุมพลังไฟฟ้าของแบรนด์ยักษ์ใหญ่นี้ และถึงแม้ทางค่ายจะวางจำหน่าย bZ4X ในหลายภูมิภาคแล้ว แต่เมื่อพิจารณายอดขายแล้วคงต้องบอกว่าไม่สู้ดีนัก

โดยเมื่อจำแนกยอดขายออกเป็นรถกลุ่ม BEV จะพบว่ามีเพียง 104,018 คัน ซึ่งนับว่าโตขึ้นกว่าปี 2022 อยู่ถึง 325.2% เนื่องจากเพิ่งจะเริ่มส่งมอบรถรุ่น bZ4X ได้อย่างเต็มกำลัง หลังจากต้องเผชิญปัญหาต่างๆในปีก่อนหน้า ทั้งนี้ ยอดขายจำนวนนี้กลับคิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ 0.92% เท่านั้น เมื่อเทียบกับยอดขายรถยนต์ขุมพลัง Full hybrid ต้นตำรับของค่ายที่ขายไปได้มากกว่า 3,420,004 คัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 30.44% ขณะที่ขุมพลัง Plug-In Hybrid ก็ยังขายได้มากกว่า BEV ที่ 124,755 คัน หลังจากทางค่ายเริ่มเพิ่มทางเลือกให้กับรถรุ่นใหม่ๆ

 

นอกจากนี้ยังมียอดขายจากขุมพลังที่ห่วงระบบ Mild-Hybrid อีกจำนวน 26,859 คัน และรถยนต์ที่ใช้ขุมพลัง Hydrogen Fuel-Cell หรือ Mirai อีกจำนวน 3,921 คัน ทำให้ยอดขายของรถยนต์ขุมพลังที่พ่วงด้วยระบบขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถทำตัวเลขได้ที่ 3,679,557 คัน หรือคิดเป็นส่วนแบ่ง 32.76%

หากเปรียบเทียบกับยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 รองจาก Toyota ในปี 2023 อย่าง Volkswagen Group ที่ขายรถยนต์ได้เป็นจำนวน 9.24 ล้านคัน กลับสามารถขายรถกลุ่ม BEV ไปได้กว่า 770,000 คัน ซึ่งคิดเป็นส่วนแบ่งจากยอดขายรวมที่ 8.3 % เพิ่มขึ้นจากปี 2022 อีก 1.4%

 

สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ จึงทำให้ประธานใหญ่ของ Toyota หรือ Akio Toyoda ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “ไม่ว่าความนิยมรถ BEV จะเพิ่มมากขึ้นเพียงใดในอนาคตอันใกล้นี้ ยอดขายของรถ BEV จะไม่สามารถแย่งส่วนแบ่งของรถยนต์ทั้งตลาดทั่วโลก ได้เกินกว่า 30% และแน่นอนว่าขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในจะยังเป็นพระเอกต่อไป ภายใต้เทคโนโลยีล้ำสมัยรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพ่วงเข้ากับมอเตอร์และแบตเตอรี่ การหันมาใช้เชื้อเพลิงสะอาดทั้งในรูปแบบเชื้อเพลิงสังเคราะห์ หรือแม้กระทั่งการใช้แก๊สไฮโดรเจนในการฉีดเข้าสู่ห้องเผาไหม้แทนน้ำมันเชื้อเพลิง”

 

ดังจะเห็นได้จากความพยายามที่จะดัดแปลงเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ 1.6 ลิตร พ่วงเทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวแรงที่ประจำการอยู่ในทั้ง GR Yaris และ GR Corolla ให้สามารถใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทดแทนน้ำมันเบนซิน และสามารถลงสนามแข่งได้อย่างไม่มีผลกระทบใดๆ

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Toyota ให้ความสำคัญสำหรับการลดมลภาวะ คือการพัฒนาและปรับปรุงขั้นตอนการผลิตในทุกภาคส่วน ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจนสามารถเข้าสู่ยุคของ net zero carbon ได้อย่างครบวงจร มากกว่าการมุ่งเน้นไปที่การลดมลภาวะแต่เพียงขุมพลังของรถยนต์

ที่มา: Motor1