Mini สร้างความฮือฮาอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวเวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาปภายในของ Hatchback รุ่นดั้งเดิมอย่าง Cooper 3 ประตู ที่เปิดตัวเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนไปก่อนหน้าเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2023 พร้อมกับรุ่นพี่ Countryman ขุมพลังไฟฟ้าล้วนเช่นเดียวกัน

 

งานออกแบบภายนอกแตกต่างจากเวอร์ชั่น EV เล็กน้อย ได้แก่ กระจังหน้าและล้ออัลลอยที่มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 16 ไปจนถึง 18 นิ้ว รวมไปถึงสีตัวถังและสีหลังคาที่สามารถเลือกได้อย่างหลากหลาย

 

ภายในเลือกใช้หน้าจอกลางทรงกลมขนาด 9.4 นิ้ว เทคโนโลยี OLED เช่นเดียวกับเวอร์ชั่น EV แต่ก็ยังปราณีติดตั้งปุ่มกดฟังก์ชั่นพื้นฐานต่างๆ ไว้อย่างครบครัน ขณะที่ความจุห้องเก็บสัมภาระอยู๋ที่ 210 ลิตร และเมื่อพับเบาะหลังลง จะเพิ่มขึ้นเป็น 800 ลิตร

 

BMW Group เลือกที่จะผลิต Mini Cooper C และ Cooper S ที่เมือง Oxford ประเทศอังกฤษ ซึ่งแตกต่างจากเวอร์ชั่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนอย่าง Cooper E และ SE ที่ถูกผลิตขึ้นในโรงงานที่ประเทศจีน โดย Spotlight Automotive หรือปริษัทร่วมทุนระหว่าง BMW Group และ Great Wall Motor โดยโรงงานในเมือง Oxford จะยังไม่ประกอบเวอร์ชั่น EV จนกว่าจะถึงปี 2026 มื่อกำหนดการเปิดตัวและสายพานการผลิตของรถ crossover ขุมพลังไฟฟ้าล้วนรุ่น Aceman จะเริ่มขึ้นสายพานการผลิตก่อน

 

โดยขุมพลังในรุ่นเริ่มต้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พละกำลังสูงสุด 154 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 7.7 วินาที เท่านั้น

และเมื่ออัพเกรดไปเล่นรุ่น Cooper S ก็ได้เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พละกำลังสูงสุด 201 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 300 นิวตัน-เมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 6.6 วินาที โดยจะมีเวอร์ชั่นร้อนแรงอย่าง JCW ออกตามมาในภายหลัง

และสำหรับเวอร์ชั่น 5 ประตูของ Cooper และเวอร์ชั่นเปิดประทุนของ 3 ประตู จะเตรียมขึ้นสายพานการผลิตในช่วงปลายปี 2024 นี้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะนับว่าเป็นรถ Mini ขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วนรุ่นสุดท้ายก่อนที่ BMW Group จะมุ่งเข้าสู่ยุคของรถ EV อย่างเต็มตัว

ที่มา: Motor1