Mercedes-Benz G-Class ตำนานที่ยังมีลมหายใจซึ่งได้รับโอกาสในการสานต่อเป็นเจเนอเรชั่นปัจจุบันในรหัสตัวถัง W464 เมื่อปี 2022 เป็นต้นมา นับตั้งแต่รุ่นสร้างชื่อที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1979 โดยเมื่อปี 2021 ทางค่ายดาวสามแฉกได้เปิดตัวรถต้นแบบรุ่น Concept EQG ซึ่งยังอยู่ในระหว่างขั้นตอนการทดสอบ ที่ใช้เวลาในการพัฒนาพอสมควร เนื่องจากสมรรถนะในการลุยที่ต้องผ่านตามมาตรฐานของค่าย เพื่อไม่ให้ตำนานตัวลุยที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของเฟรมแชสซี

 

งานออกแบบตัวถังยังคงอ้างอิงกับรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่ได้เปลี่ยนบริเวณกระจังหน้าให้เป็นแบบทึบ พร้อมด้วยการตกแต่งไฟ LED เส้นบางเป็นรูปกรอบกระจัง พร้อมด้วยกล่องเก็บสายชาร์จบริเวณด้านท้ายรถเข้ามาแทนที่กล่องเก็บยางอะไหล่ โดยยังสามารถเก็บโซ่สำหรับวิ่งบนหิมะและเครื่องมืออื่นๆ ที่มีน้ำหนักรวมไม่เกิน 10 กิโลกรัม

ยิ่งไปกว่านั้นทางค่ายดาวสามแฉกยังได้ทำการปรับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ตัวถังมีสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศลดลง เริ่มต้นที่เส้นขอบฝากระโปรงหน้าที่ถูกยกขึ้นเล็กน้อย รวมไปถึงเส้นครีบรีดอากาศบริเวณซุ้มล้อคู่หลัง พร้อมด้วยแผ่นปิดเสา A ที่แตกต่างจากรุ่นปกติ รวมไปถึงสปอยเลอร์หลังออกแบบใหม่

 

ภายในยังคงใช้งานออกแบบเช่นเดียวกับรุ่นปกติ ด้วยหน้าจอแสดงผลการขับขี่และแสดงการเชื่อมต่อ ชุดละ 12.3 นิ้ว ในรูปแบบจอคู่ พร้อมโปรแกรมที่ถูกออกแบบมาให้สามารถแสดงค่าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่แบบลุยฝ่าอุปสรรคได้ พร้อมกล้องรอบคัน 360 องศา ที่มีโหมดการมองเห็นแบบทะลุฝากระโปรงหน้า เหมาะสำหรับการลุยอย่างหนักหน่วง

 

สำหรับรุ่นพิเศษฉลองการเปิดตัวของ G 580 EV มาในชื่อรุ่น Edition One ตามระเบียบของค่ายดาวสามแฉก ที่มีให้เลือกทั้งหมด 4 สีตัวถังภายนอกพิเศษจาก Manufaktur ได้แก่ สีฟ้า South Sea Blue Magno สีขาว Moonlight White Magno สีขาว Moonlight White Metallic และสีเทา Arabian Grey รวมไปถึง 1 สีธรรมดาอย่างสีดำ Obsidian Black Metallic เพิ่มความโดดเด่นด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีฟ้าและล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว จาก Night Package พร้อมการตกแต่งรอบคันด้วยวัสดุสีดำเงา

ภายในเลือกใช้โทนสีฟ้าและเทา โดยเสริมภาพลักษณ์สปอร์ตด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์สีฟ้าเช่นเดียวกัน พร้อมด้วยการติดตั้งฟังก์ชั่นเสียงเครื่องยนต์สังเคราะห์ หรือ G-Roar ที่อ้างอิงจากเสียงของรุ่นเครื่องยนต์สันดาป

 

ขุมพลังที่เลือกใช้เป็นมอเตอร์ 4 ตัว อิสระทั้ง 4 ล้อ ให้พละกำลังสูงสุดรวม 587 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุดรวม 1,165 นิวตัน-เมตร มากกว่ารุ่น G 63 AMG อยู่ 2 แรงม้า และ 314 นิวตัน-เมตร พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาดใหญ่จุใจ 116 kWh ที่มาพร้อมเกาะป้องกันแบบพิเศษไม่ให้เกิดอันตรายขณะลุย

โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 10 – 80 % ได้ด้วยกระแสไฟฟ้าตรง DC แบบเร็ว ภายในเวลา 32 นาที จ่ายไฟด้วยกำลังสูงสุด 200 kW

  • อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ภายใน 4.8 วินาที
  • ความเร็วสูงสุดทำได้ 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ช่วงล่างแบบอิสระแบบดับเบิ้ลวิชโบนที่ด้านหน้า และ Rigid De-Dion axle ที่ด้านหลัง พร้อมด้วยอุปกรณ์ปกป้องด้านใต้ตัวถังรอบคัน เพื่อรองรับการลุยแบบออฟโรด ด้วยมุมชันสูงสุด 35 องศา ด้วยระยะต่ำสุดจากพื้นเพียง 250 มิลลิเมตร ทำให้มีมุมไต่ที่ 32 องศา มุมจากที่ 30.7 องศา

ด้านความสามารถในการลุยด้วยระบบส่งกำลังพร้อมเกียร์แบบ 2 จังหวะที่มอเตอร์แต่ละตัว และฟังก์ชั่น G-Turn ช่วยให้ตัวรถสามารถลดรัศมีวงเลี้ยวได้อย่างอิสระ พร้อมด้วย differential lock แบบเสมือนที่ใช้การจัดการแรงบิดที่ส่งผ่านมอเตอร์ด้วยระบบ torque vectoring และโช้คอัพที่สามารถปรับระดับความหนืดได้อย่างเหมาะสม พร้อมด้วยระบบเลี้ยว 4 ล้อ G-Steering

 

Mercedes-Benz ยังไม่ประกาศราคาจำหน่ายของ G-Class ขุมพลังไฟฟ้าล้วนในขณะนี้ แต่ทว่า หากอ้างอิงจากรุ่น เครื่องยนต์สันดาปภายในอย่าง Mercedes-AMG G 63 ที่มีราคาสูงถึง 184,595 ปอนด์ในสหราชอาณาจักร ทำให้รุ่นมอเตอร์ 4 ตัวนี้ มีความเป็นไปได้ที่วางจำหน่ายด้วยราคาที่แพงกว่า

ที่มา: Motor1