20 พฤษภาคม 2024

ภาพดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าจากวิวชั้น 5 ของโรงแรม Vinpearl Report & Spa Ha Long ถือเป็นอาหารตาที่พอจะทำให้ผมรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง หลังจากตื่นนอนตอนเช้าตรู่ แบกร่างเดินทางมาร่วมทริปเยี่ยมชมโรงงานผลิตและทดลองขับรถยนต์จากแบรนด์หน้าใหม่ที่เตรียมชิงส่วนแบ่งเค้ก EV เมืองไทย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีจำนวนปอนด์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

สืบเนื่องจากงาน Bangkok International Motor Show 2024 ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา มีแบรนด์รถยนต์รถยนต์หน้าใหม่แห่แหนกันเข้ามาเปิดตัวแบบ Soft Opening กันอย่างอลวน เล่นเอาสื่อมวลชนหรือบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายปั่นคอนเทนต์กันจนน้ำลายเหนียวมือหงิกไปตามๆ กัน แน่นอนว่าสเต็ปถัดมาของการโชว์รถโชว์ของคือการเปิดหลังบ้าน เพื่อให้เป็นที่รู้จักกันมักคุ้นกันมากขึ้นระหว่างค่ายรถกับผู้บริโภคโดยมีคนอย่างพวกผมเป็นสื่อกลาง

ค่ายรถที่จะพาไปทำความรู้จักกันในคราวนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหนึ่งในหนึ่งธุรกิจเครือเดียวกันกับโรงแรมที่ผมมาค้างแรมในทริปนี้นั่นเอง… ขอต้อนรับคุณผู้อ่านทุกท่านเข้าสู่บทความ First Impression ทดลองขับรถยนต์ “VinFast” อย่างเป็นทางการครับ

 

การเดินทางมายังเวียดนามของผมในครั้งนี้ ได้รับคำเทียบเชิญจากทีม VinFast เพื่อเยี่ยมชมโรงงาน VinFast รวมถึงทดลองขับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของพวกเขา ครั้งนี้ทีม Ogilvy (เอเจนซี่) จัดเต็มเรื่องการเดินทางมาให้เราครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการนั่งเครื่องบิน จากสนามบินสุวรรณภูมิมาถึงสนามบินโหน่ยบ่าย ตามด้วยนั่งรถบัสจากฮานอยมายังฮาลอง (ระยะทางพอๆ กับนั่งรถจากกรุงเทพฯ ไประยอง) ยังไม่พอ… เมื่อถึงล็อบบี้ของโรงแรม ต้องมีการนั่งเรือมายังตัวอาคารของโรงแรม ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ อีกทอดนึง จากนั้นปิดท้ายด้วยการนั่งรถกอล์ฟต่อไปอีกนิดหน่อยก็เป็นอันเสร็จสิ้น

เหตุผลที่ต้องเดินทางกันหลายต่อ แถมยังต้องมาพักบนเกาะเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะทีม VinFast ต้องการกักบริเวณสื่อมวลชนไม่ให้ออกไปเดินเตร็ดเตร่ยามคำ่คืน ทว่าโรงแรม Vinpearl Report & Spa Ha Long นั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานผลิตรถยนต์ VinFast ณ เมืองไฮฟอง อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในธุรกิจของกลุ่ม Vingroup บริษัทเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามและเป็นกลุ่มเศรษฐกิจชั้นนำในเวียดนาม เป็นเจ้าของแบรนด์ VinFast คงอยากแนะนำตัวกลายๆ เสียมากกว่า

โรงแรม Vinpearl Report & Spa Ha Long แห่งนี้ ถือว่าเป็นสถานที่ที่สวยงามแห่งหนึ่งย่านฮาลองเลยก็ว่าได้ บนพื้นที่เกาะกลางทะเลที่จงใจสร้างขึ้น อุดมไปด้วยทัศนียภาพที่ถูกจัดวางมาเป็นอย่างดี ตัวอาคารมีงานออกแบบอิงสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส ไม่แปลกใจเลยที่โรงแรมแห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวเวียดนามอยู่พอสมควร จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้าพักในวัน จันทร์ ที่ 20 พฤษภาคม 2024 ถือว่าหนาหูหนาตาเอาเรื่อง แม้จะเป็นเวลาเกือบ 5 ทุ่มแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวสาวสวมบิกินี่เดินถ่ายรูป ถ่ายคลิปลง TikTok ให้เห็นกันอยู่ประปราย

หลังจากทานอาหารมื้อเย็นเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ผมและคณะสื่อมวลชนชาวไทย ต่างกลับไปยังห้องพักเพื่อคลายความเหนื่อยล้าและเตรียมพร้อมกับภารกิจในวันต่อไป นั่นคือการเยี่มชมโรงงานผลิตรถยนต์ VinFast ตลอดจนทดลองขับรถยนต์รุ่นต่างๆ ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้

 

ก่อนจะไปดูรถ ผมขอย้อนประวัติโดยสังเขปของ VinFast ให้ได้ทราบกันเสียก่อน…

VinFast เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสัญชาติเวียดนาม เริ่มก่อตั้งขึ้นในเดือน มิถุนายน 2017 อยู่ภายใต้กลุ่มธุรกิจ Vingroup (เดิมชื่อว่า Technocom Group) ซึ่งมี ฝั่ม เหญิต เหวื่อง (Pham Nhat Vuong) เป็นเจ้าของและผู้ก่อตั้ง การถือกำเนิดของ VinFast เป็นกลยุทธ์ของกลุ่ม Vingroup ที่ต้องการขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม การค้าและบริการ ตลอดจนด้านการกุศลเพื่อสังคม นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการขยายธุรกิจไปยังตลาดอื่นๆ ทั่วโลก จนเป็นที่มาของแบรนด์ VinFast ในปัจจุบัน

2 เดือนผ่านไปหลังจากก่อตั้งแบรนด์ VinFast ได้เริ่มก่อสร้างโรงงาน VinFast Manufacturing Facility เพื่อกระโจนเข้าสู่วงการรถยนต์อย่างรวดเร็ว โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมบนเกาะแคทไฮ (Cat Hai) ใกล้กับเมืองไฮฟอง มีพื้นที่กว่า 828 เอเคอร์ หรือราวๆ 3,350,000 ตารางเมตร โรงงานที่ประกอบไปด้วยโรงทำสี (Paint Ship) โรงปั๊มขึ้นรูป (Press Shop) ไลน์ประกอบ (Assembly Shop) และไลน์ผลิตเครื่องยนต์ (Engine Shop) ถูกเสกขึ้นภายในระยะเวลา 21 เดือน ด้วยงบลงทุนระยะแรกจำนวน 1.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ดำเนินการผลิตทั้ง รถยนต์นั่ง รถยนต์โดยสารไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า

ในช่วงที่กำลังก่อสร้างโรงงาน VinFast ได้รวบรวมทรัพยากรบุคคลทั้งผู้มีความสามารถจากบริษัทในเครือ Vingroup รวมถึงวิศวกร นักออกแบบ และหุ้นส่วนด้านเทคโนโลยีการผลิต จากฝั่งยุโรป ด้วยความทะเยอทะยาน งบประมาณอันมหาศาล ทำให้พวกเขาสามารถระดมสรรพกำลังสร้างรถยนต์ 2 รุ่นแรก เสร็จทันขึ้นโชว์ตัวที่งานงาน Paris Motor Show ปี 2018 ชนิดที่ทำเอาหลายคนอึ้ง VinFast LUX A2.0 และ LUX SA.20 ถือเป็นผลผลิตแรกที่เผยสู่สายตาชาวโลก ภายใต้คำนิยาม “จิตวิญญาณแห่งเวียดนาม ดีไซน์แบบอิตาลี และเทคโนโลยีแบบเยอรมัน” ทั้ง 2 รุ่น ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานงานวิศวกรรมของ BMW 5-Series (F10) และ X5 (F15) และวางเครื่องยนต์ N20 เบนซิน 2.0 ลิตร Turbo ผูกกับเกียร์ ZF 8 จังหวะ ส่วนงานออกแบบเป็นผลงานของ Pininfarina

ไม่เพียงหวังตีตลาดกลุ่มรถหรูเท่านั้น ในปี 2019 VinFast ยังได้ซื้อโรงงานผลิตรถยนต์ในเมืองฮานอยต่อจาก General Motors (GM) และได้รับสิทธิ์ในการผลิตรถยนต์นั่งขนาดเล็กของ GM ทำให้ในเวลาต่อมา พวกเขามีโอกาสส่งผลผลิตรุ่นที่ 3 ออกสู่ตลาดในชื่อ VinFast Fadil เป็นรถยนต์ Sub Compact Crossover ที่นำเอา Chevrolet Spark หรือ Opel Karl Rocks มา Rebadge แปะโลโก้ VinFast ออกขาย สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับ Entry Level และไหนๆ ก็มีเอี่ยวกับ GM แล้ว งานนี้ VinFast ยังจับเอา LUX SA.20 มาแปลงโฉมทั้งภายนอกและภายในให้ดูหรูขึ้นอีกสเต็ป พร้อมกับยกเครื่องยนต์เบนซิน V8 6.2 ลิตร 420 แรงม้า ของทาง GM มาวางประจำการ จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อให้ดูน่าเกรงขามขึ้น เป็น VinFast President และวางขายจำนวนจำกัด 500 คัน

รถยนต์ทั้ง 4 รุ่นของ VinFast ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในตลาดบ้านเกิด ภายในระยะเวลา 3 ปี พวกเขาสามารถกวาดยอดขายในเวียดนามไปได้เกือบ 100,000 คัน ที่สุดแล้ว VinFast ก็ได้รับการยกย่องในสายตาผู้บริโภคชาวเวียดนามให้เป็น “รถยนต์ประจำชาติ”

 

(แฟ้มภาพจากงาน Bangkok International Motor Show 2024)

ในปี 2022 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกเติบโตอย่างก้าวกระโดด แน่นอนว่า VinFast ก็เล็งเห็นโอกาสที่จะเติบโต และตัดสินใจเร่ง “โร้ดแมพสีเขียว” หรือการเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าใน Line up ของตนเอง เร่งสนองต่อความต้องการของตลาด EV หวังตามรอยค่ายรถองครักษ์พิทักษ์โลกอย่าง Volvo และเพื่อที่จะใช้โอกาสนี้พาแบรนด์ก้าวไปสู่ตลาดระดับ Global อย่างจริงจัง

สำหรับตลาดเวียดนามในปัจจุบัน VinFast มีรถยนต์ไฟฟ้าวางจำหน่ายอยู่ทั้งหมด 7 รุ่น ครอบคลุมในเกือบทุก Segment ทั้ง VF 3 Crossover 3 ประตู สไตล์ Mini Off-road SUV, VF 5 Sub Compact Crossover 5 ประตู, VF e34 Sub Compact Crossover ทรงกึ่ง Mini MPV, VF 6 Sub Compact Crossover เวอร์ชั่นอัพเกรด เน้นเจาะกลุ่มลูกค้า Global , VF 7 Sub Compact Crossover ที่มีทางเลือกขุมพลังแรง, VF 8 Compact Crossover พิกัดเดียวกับ Deepal S07 และ VF 9 Mid-size Crossover เบาะ 3 แถว 6 ที่นั่ง พิกัดเดียวกับ Tesla Model X แต่ไซส์ใหญ่กว่านิดหน่อย นอกจากนี้ ยังมีรถกระบะต้นแบบ VF Wild Concept ซึ่งคาดว่าจะคลอดออกมาเป็น EV Pick-up Truck ในอีกไม่นานนับจากนี้

ความพร้อมด้านบริการ มีโชว์รูม 89 แห่ง และศูนย์บริการ 63 แห่ง ในจังหวัดและเมืองใหญ่ของเวียดนาม มีการติดตั้งสถานีชาร์จ 150,000 แห่ง ทั่วประเทศ ตลอดจนบริการซ่อมรถและชาร์จแบตเตอรี่เคลื่อนที่ตลอด 24 ชั่วโมง ต้องยอมรับว่าพวกเขาประสบความสำเร็จลุล่วงตาม Roadmap ที่วางเอาไว้ในปี 2022 ได้อย่างรวดเร็วเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เงินลงทุนจำนวนมหาศาลที่ทุ่มให้กับรถทั้ง 7 รุ่นนี้ มิอาจหวนกลับมาได้ด้วยการขายแค่คนในประเทศตัวเอง จนกระทั่งต่อมาในปี 2023 VinFast เริ่มส่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น VF8 ซึ่งเป็น Crossover SUV พิกัดเดียวกับ Hyundai Ioniq 5, KIA EV6, Nissan Ariya และ Tesla Model Y เข้าไปทำตลาดในอเมริกา แต่ดูเหมือนว่ากระแสตอบรับของ VF8 ดูจะไม่สู้ดีนักเพราะในช่วง 5 เดือนแรก มีจำนวนรถจดทะเบียนไปแค่ 128 คัน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับขนาดตลาด กระนั้น VinFast ก็ยังไม่แสดงทีท่าว่าจะยอมแพ้ ส่ง Crossover EV เข้าไปเสริมกำลังทัพอีก 3 รุ่นรวด ไม่ว่าจะเป็น VF6, VF7 และ VF9 พร้อมทุ่มเงินลงทุนอีก 2 พันล้านดอลลาร์ สำหรับก่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ในรัฐนอร์ธแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา เป็นรากฐานในการผลิตรถสำหรับส่งไปบุกตลาดโซนตะวันตก ทั้งแคนาดา และบางประเทศในยุโรป โดยคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 2025 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ ในปี 2024 VinFast กำลังจะขยายธุรกิจต่างๆ ไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชีย รวมถึงประเทศไทย เป็นเหตุผลที่พวกเขาเชิญสื่อมวลชนจากหลายประเทศ เพื่อมาเยี่ยมชมโรงงานและทดลองขับรถยนต์รุ่นต่างๆ ได้แก่ VF6, VF7 และ VF5 ซึ่งรุ่นหลังสุดนั้น ได้รับการยืนยัน 100% แล้วว่าจะเปิดรับจองในเดือน มิถุนายน นี้ อย่างแน่นอน !!! เชื่อว่าหลายท่านคงอยากรู้แล้วว่า ณ วันนี้ รถยนต์ VinFast ที่เตรียมจะเข้าและมีแนวโน้มจะเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยนั้น จะมีสมรรถนะในการขับขี่เบื้องต้นเป็นอย่างไร

เชิญทัศนาต่อกันได้เลยครับ…

 

VinFast VF5

VF5 เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นเริ่มต้นในตระกูล Crossover SUV 5 ที่นั่ง ของค่าย เผยโฉมครั้งแรกออกสู่สายตาชาวโลกที่งาน Consumer Electronics Show (CES) เมื่อช่วงต้นปี 2022 ก่อนจะประเดิมจำหน่ายครั้งแรกในตลาดบ้านเกิด ในฐานะตัวแทนรุ่นใหม่ของ VinFast Fadil (อีกร่างของ Chevrolet Spark M400) ซึ่งเคยรับหน้าที่เจาะกลุ่มตลาด SubCompact Crossover ในเวียดนามตั้งแต่ปี 2019 สนนราคาที่ 468,000,000 ดอง หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 679,000 บาท (ยังไม่รวมภาษีต่างๆ ของไทย) นอกจากนี้ VF5 ยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกๆ ที่ทาง VinFast หมายมั่นปั้นมือส่งเข้าไปทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้นี้ด้วย 

มิติตัวถังของ VF5 มีดังนี้

  • ความยาว 3,967 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,723 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,578 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ 2,514 มิลลิเมตร
  • ระยะตำ่สุดใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 168 มิลลิเมตร

ด้วยตัวถังภายนอกที่กระทัดรัด ทำให้ VF5 ได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้าคนเมืองและถูกนำไปวิ่งเป็นรถแท็กซี่รับส่งผู้โดยสารตามหัวเมืองต่างๆ ของเวียดนาม และเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในกลุ่ม Sub Compact Crossover EV อย่าง Neta V-II จะพบว่า VF5 กว้างกว่า 33 มิลลิเมตร สูงกว่า 38 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาวกว่า 94 มิลลิเมตร แต่ความยาวจากปลายสุดกันชนหน้าถึงกันชนหลังสั้นกว่า Neta V-II อยู่ราวๆ 103 มิลลิเมตร

ดีไซน์ภายนอกของ VF5 แม้จะมีดีเอ็นเอความเป็น VinFast ปรากฎชัดอยู่บริเวณกระจังหน้า รวมถึงเส้นไฟท้ายรูปทรงตัว V ทว่าเมื่อมองจากด้านข้างตรงๆ ซึ่งเห็นเพียงดีไซน์หลังคาแบบ Floating Roof และรูปทรงของบานหน้าต่างด้านข้างดังรูป ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่มัน Suzuki Swift Cross หรือเปล่า (วะ) เนี่ย !? ด้านอุปกรณ์มาตรฐานมีมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าแบบ Projector Lens กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว กุญแจแบบ Keyless Entry เสาอากาศแบบครีบฉลาม เซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 ตำแหน่ง ส่วนใบปัดน้ำฝนหลังนั้น จริงๆ แล้วมีมาให้ ยกเว้นรถทดสอบซึ่งเป็นรุ่นถูกสุด

 

เบาะนั่งคู่หน้าของ VF5 เป็นแบบอัตโนมือ (ปรับด้วยมือ) ทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับได้ 4 ทิศทาง ในขณะฝั่งคนขับจะมีคันโยกปรับสูง – ต่ำ เพิ่มเข้ามาให้ วัสดุหุ้มเบาะเป็นหนังสังเคราะห์เดินตะเข็บด้ายสีขาว ฟองน้ำเบาะนั่งคู่หน้ามีความความนุ่มละมุนกำลังดี ความยาวเบาะรองนั่งอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของรถไซส์เล็ก การนั่งขับหรือนั่งโดยสารให้ความรู้สึกละมุนก้นกว่า Neta V-II นิดๆ แต่ VF5 เสียเปรียบตรงที่ไม่มีพนักวางแขนตรงกลางมาให้ ถือว่าแลกกันคนละหมัด

ลองย้ายร่างมานั่งเบาะหลัง ทันทีที่หย่อนก้นลงบนเบาะก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีการใช้ฟองน้ำแบบเดียวกันกับเบาะหน้าคือนุ่มกำลังดี พนักพิงศีรษะมีมาให้ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง แต่เฉพาะฝั่งซ้าย – ขวาเท่านั้นที่สามารถปรับสูง – ต่ำได้ สำหรับคนตัวสูง 173 เซนติเมตร ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่เหนือศีรษะ เพราะคนออกแบบแกเล่นกดเบาะรองนั่งมาซะเตี้ยเชียว ! นั่งแล้วหัวไม่ติดหน่ะใช่ แต่ก็ต้องทนชันเข่ากันไป โดยเฉพาะคนตัวสูงขายาวทั้งหลาย

ถ้าต้องเลือกให้นั่งรถทางไกล ระหว่าง VinFast VF5 กับ Neta V-II (แหม่… จะคล้องจองอะไรกันปานนี้) ผมอาจจะเลือกคันหลัง ถึงแม้จะมีพื้นที่แหกแข้งแหกขาน้อยกว่า แต่พนักพิงเบาะหลังของ Neta V-II ก็ยังมีส่วนเว้าโค้งที่โอบรับสรีระได้ดีกว่า อีกทั้งยังมีเบาะรองนั่งที่รองรับช่วงข้อพับหัวเข่าที่ดีกว่าเช่นกัน

 

เมื่อเปิดฝากระโปรงท้ายที่คำ้ยันด้วยโช๊คอัพไฮดรอลิกขึ้น จะพบกับพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดไม่ใหญ่โตนัก ด้วยความที่มีระยะ Overhang ด้านหลังสั้น พื้นที่ตรงนี้จึงเหลือความจุอยู่เพียง 260 ลิตร เมื่อพับเบาะพับพนิงพิงเบาะหลังที่แยก 60:40 ลง จะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 900 ลิตร ซึ่งเล็กกว่า Neta V ที่มีความจุ 335 ลิตร และ 1,150 ลิตร เมื่อพับเบาะ

 

ภายในห้องโดยสารของ VF5 มีหน้าจอชุดมาตรวัด ขนาด 7 นิ้ว และหน้าจอกลางระบบความบันเทิง ขนาด 8 นิ้ว ติดตั้งมาให้ตามสมันนิยม พร้อมพวงมาลัยทรง Multi-fuction ทรงท้ายตัด เมื่อดูจากรูปคุณคงคิดว่ามันดูดีไม่หยอก แต่… เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าไปนั่งในรถคันจริง คุณจะพบกับวัสดุภายในที่ดูห่างไกลคำว่าแพง คำว่าแพงในที่นี่อาจไม่ได้หมายถึงการประโคมวัสดุบุนุ่มหุ้มหนังเกรดดีมาให้เหมือนรถราคาหลักล้าน แต่อย่างน้อยก็ควรเลือกสีหรือผิวสัมผัสของชิ้นงานพลาสติกให้ดูสมกับการเป็นรถที่เปิดตัวในปี 2022 มากกว่านี้สักหน่อย

ได้แต่หวังว่า VF5 เวอร์ชั่นที่เตรียมนำเข้ามาขายให้กับลูกค้าคนไทยจะได้รับการปรับปรุงจุดนี้ให้ดีขึ้น มิเช่นนั้นแล้ว อาจลำบากทาง Neta ที่ต้องกล่าวคำขอบคุณที่ทำให้ Neta V ของพวกเขาดูดีขึ้นมาโดยไม่ต้องออกแรงอะไรเลย

สำหรับเบรกมือแบบคันโยก แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ขัดใจผู้ใช้สายสุขนิยมที่ต้องการให้ Auto Brake Hold เข้ามาช่วยบรรเทาความเมื่อยล้าในครารถติด แต่ผมเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะปรับเปลี่ยนแปลงในเวลากระชั้นชิดแบบนี้ เพราะฉนั้นก็ปล่อยเอาไว้ ถือว่าเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ยังมองเห็นประโยชน์ในยามฉุกเฉินของมัน หรือไม่อุปกรณ์ของคนโสดที่ต้องการหาอะไรกุมยามเหงา

 

(สเป็ครถยนต์ทั้ง 3 รุ่น อ้างอิงจาก เวอร์ชั่นเวียดนาม)

ขุมพลังขับเคลื่อนของ VF5 เป็นแบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permarnent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ (kW) หรือ 136 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion Phosphate (LFP) ความจุ 37.23 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สูงสุด และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สูงสุด 60 kW มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Normal และ Sport สามารถปรับระดับการหน่วงเพื่อกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ 2 ระดับ

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน ระบุว่าระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง ทำได้ 326 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ชาร์จไฟฟ้าผ่าน DC Charging จาก 10 – 70% ใช้เวลา 30 นาที โดยประมาณ

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPS) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.25 เมตร ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบคารบิดกึ่งอิสระ Torsion Beam ส่วนระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็นจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Disc) ด้านหลังเป็นจานเบรกธรรมดา (Solid Disc) เสริมการทำงานด้วยสารพัดตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว ESC (Electronic Stability Control) รวมถึงระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)

ล้อที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน จะมีทั้งล้อกระทะเหล็กและล้ออัลลอย 16 นิ้ว ขนาดเท่ากันกับ Neta V-II แต่ VF5 จะได้ยาง ขนาด 195/60 R16 หน้ากว้างกว่าและแก้มยางหนากว่า รุ่นยางเท่าที่สังเกตเห็น มีทั้ง Goodyear Assurance ComfortTred และ Sailun Atrezzo SH29

 

เมื่อถึงคราวต้องขับ ผมลองจับอัตราเร่งของ VF5 ในโหมด Sport โดยมีทีม Instructor อีก 3 ท่านนั่งโดยสารไปด้วย น้ำหนักตัว 4 คนรวมกันน่าจะราวๆ 250 กิโลกรัม ได้ผลลัพธ์ออกมา ดังนี้

อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 12.97 วินาที 

ทันทีที่กดคันเร่งเต็มออกตัวไป VF5 คันกระปุ๊กลุ๊ก ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปแบบเนิบๆ แม้จะไร้อารมณ์และไม่มีแรงกระชากชวนหวาดเสียว แต่ตัวเลขที่ออกมาก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานในเขตเมืองที่ไม่ได้ใช้ความเร็วสูงนัก ความแรงอยู่ในระดับใกล้เคียงกับทั้ง Neta V หรือแม้แต่ BYD Dolphin รุ่น Standard Range 94 แรงม้า ความไวของคันเร่งในโหมด Eco และ Sport ไม่ได้ต่างกันมากนัก แต่สัมผัสได้ว่าโหมด Sport นั้น มอเตอร์จะมีเปอร์เซ็นต์การระเบิดพลังออกมามากกว่า

พวงมาลัยมีความหนักและหนืดราวกับเป็นระบบผ่อนแรงแบบไฮดรอลิก อัตราทดเฟืองพวงมาลัยค่อนข้างยืนยานราวกับรถกระบะยุคก่อน ในแง่ของการใช้งานย่านความเร็วต่ำลัดเลาะไปในที่แคบ พวงมาลัยของ Neta V จะสร้างความน่าประทับใจได้มากกว่า แต่พอเป็นช่วงความเร็วเดินทางประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังคงมีความเบาๆ หลอนๆ พอกัน

ถัดมาที่เรื่องช่วงล่าง VF5 เป็นรถที่มีความ นุ่ม โยน ย้วย มากที่สุดในบรรดาตระกูล VF ที่ได้ลองขับทั้งหมดในทริปนี้ ดูเหมือนว่าทีมวิศวกรจะจงเซ็ตช่วงล่างคนรถรุ่นนี้มาให้เหมาะกับการใช้งานในเมืองที่ความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตร/ชั่วโมง เท่านั้น ไม่เหมาะกับสายบรรดาวัยรุ่นสายบู๊ด้วยประการทั้งปวง การเปลี่ยนเลนกระทัน แม้จะลองกันที่ความเร็วแค่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ยังรู้สึกได้ชัดเจนถึงความวาบหวิว ตัวรถเอียงตัวค่อนข้างเยอะ และยางที่ให้มาก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยกันทำมาหากินเท่าไหร่นัก

จากที่กล่าวมาทั้งหมด ดูเหมือนว่าการขับขี่จะเป็นจุดอ่อนอีกอย่างของ VF5 เสียแล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งแป้นเบรกมีระยะเหยียบยาว แถมมีน้ำหนักต้านเท้าเยอะ การบริหารจัดการแรงเบรกยังทำได้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตาม จานเบรกกับผ้าเบรกที่ให้มานั้น มีประสิทธิด้านการหยุดยั้งความเร็วเพียงพอแล้วเมื่อเทียบกับความแรง หากปรับฟีลลิ่งแป้นเบรกให้ดีขึ้นได้ ก็ไม่มีอะไรที่ต้องติกันในเรื่องเบรก

โดยภาพรวม การที่ VinFast จะส่ง VF5 เป็นแม่ทัพในการบุกตลาด EV ย่อมเกิดคำถามตามมาว่า มันพอมีความสามารถในการแข่งขันมากพอหรือไม่… หลังจากที่ผมลองสัมผัสมาแล้วสั้นๆ ต้องยอมรับว่า เรื่องอุปกรณ์ อ็อพชั่นที่ติดตั้งมาให้ รวมถึง percieved quality ยังคงเป็นรอง Neta V-II อยู่พอนิดหน่อย ในการด้านการขับขี่ ก็ยังไม่เจอว่า VF5 จะเหนือกว่า Neta V ตรงไหน ช่วงล่างก็โยนย้วยพอกัน อัตราเร่งก็จืดพอๆ กัน แถมระยะทางที่แล่นได้ก็ยังไม่หนีกันมาก

ดูเหมือนว่าทางรอดที่เหลืออยู่ของ VF5 จะอยู่ที่เทคนิคการทำราคาจำหน่ายให้ดูคุ้มค่าในสายตาผู้บริโภคชาวไทย รวมถึงบริการหลังการขาย แม้ผู้บริหารของ VinFast จะมั่นใจในสินค้าของตนมากแค่ไหน แต่ผมยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเปิดราคามาแพงกว่า Neta V-II ก็เตรียมนั่งตบยุงกันได้เลย…

————————————————

 

VinFast VF6

VF6 เป็นรถยนต์ Crossover EV ที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นกว่า VF5 พอประมาณ แม้ว่าจะไม่ได้มีรุ่นที่เป็รรากเหง้าบรรพบุรุษเหมือน VF5 ทว่านี่คือ Sub Compact Crossover SUV ที่ดูมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลกมากกว่าอยู่พอสมควรเลยทีเดียว รถรุ่นนี้ถูกเปิดผ้าคลุมออกสู่สายตาสาธารณชนครั้งแรกที่งาน Consumer Electronics Show 2022 ก่อนถูกส่งไปโชว์ตัวเคียงบ่าเคียงใหล่กับ VF7 ที่งาน LA Auto Show 2022 ในฐานะกำลังเสริมของภารกิจกรุยทางขยายแบรนด์ในสหรัฐอเมริกา ราคาจำหน่าย VF5 ในเวียดนามอยู่ที่ 675,000,000 – 765,000,000 ดอง คิดเป็นเงินไทยราวๆ 979,000 – 1,110,000 บาท (ยังไม่รวมภาษีต่างๆ ของไทย)

มิติตัวถังของ VF6 มีดังนี้

  • ความยาว 4,238 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,820 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,594 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ 2,730 มิลลิเมตร
  • ระยะตำ่สุดใต้ท้องรถ (Ground Clearance) 170 มิลลิเมตร

มิติตัวถังภายนอก เมื่อเปรียบเทียบกับรถยนต์ในกลุ่ม Sub Compact Crossover EV รุ่นอื่นๆ จะมีดังนี้ (ยาว x กว้าง x สูง / ฐานล้อ)

  • VinFast VF6 : 4,238 x 1,820 x 1,594 / 2,730 มิลลิเมตร
  • Honda e:N1 : 4,387 x 1,790 x 1,584 / 2,607 มิลลิเมตร
  • BYD Atto 3 : 4,455 x 1,875 x 1,615 / 2,720 มิลลิเมตร
  • MG ZS EV : 4,323 x 1,809 x 1,649 / 2,585 มิลลิเมตร
  • Volvo EX30 : 4,233 x 1,837 x 1,549 / 2,650 มิลลิเมตร

ดีไซน์ภายนอกของ VF6 มีความเส้นสายที่พริ้วไหวมากกว่า VF5 แถมยังมีการตกแต่งด้วยแถบโครเมียมตามจุดต่างๆ เพื่อสร้างความรู้สึกพรีเมียม ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ยังคงปรากฎชัดทั้งด้านหน้าและหลังของตัวรถ สำหรับรุ่น ECO จะมาพร้อมล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ส่วนรุ่น PLUS จะขยับมาใช้ล้อ 19 นิ้ว แบบ Aero Wheel ซึ่งดูสวยใช้ได้ โดยรวมสำหรับผม VF6 เป็นรถที่มีดีไซน์และสัดส่วนลงตัวมากที่สุดในตระกูล VF ทั้งหมด

 

เบาะนั่งคู่หน้าของ VF6 สามารถปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ตัวเบาะห่อหุ้มด้วยวัสดุหนังแบบ Vegan สีทูโทนน้ำตาลอ่อน Mocha Brown สลับสีเทา ผิวสัมผัสของหนังถือว่าใช้ได้ ตะเข็บด้ายตามจุดต่างๆ ของเบาะ แม้จะไม่เรียบร้อยเท่ารถจีนแต่งานดีกว่ารถญี่ปุ่นบางรุ่นที่ผลิตในอินโดฯ ฟองน้ำเบาะนั่งคู่หน้าแอบแข็งกว่า VF5 อยู่นิดหน่อย ส่วนรองรับลำตัวมีความแบนราบ เวลานั่งแล้วจะรู้สึกลอยๆ คล้ายเบาะนั่งคู่หน้าของ BMW X1 รุ่นที่แล้ว ซึ่งหาความสบายแบบไม่เจอ เมื่อมองด้วยตาเปล่า คุณจะรู้สึกว่าเบาะนั่งของ VF6 นั้นชวนนั่งมากกว่าของ VF5 แต่เวลานั่งจริง รถรุ่นเล็กกว่า วัสดุแย่กว่า กลับนั่งสบายกว่าซะงั้น

สำหรับเบาะหลัง พอเป็นรุ่นใหญ่ขึ้น ก็มีอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น อาทิ พนักวางแขนตรงกลาง และช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง เป็นต้น ความแน่นของฟองน้ำและผิวสัมผัสเบาะเหมือนกันกับเบาะหน้าเป๊ะ องศาเบาะรองนั่งและพนักพิงหลังเอียงกำลังดี ไม่ชันจนเกินไป พื้นที่ Legroom เหลือเยอะพอๆ กับ BYD Atto 3 โดยรวมถือว่านั่งได้สบาย แต่ยังต้องชันเข่าอยู่นิดๆ ถ้าจะให้ดีกว่านี้ ควรเพิ่มความสูงของเบาะรองนั่งขึ้นอีกซัก 1 นิ้ว น่าจะกำลังสวย

 

ฝากระโปรงท้ายของ VF6 เป็นแบบเปิด – เปิดด้วยมือ ยังไม่ได้อัพเกรดไปใช้ฝาท้ายไฟฟ้า พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังมีความจุเพิ่มขึ้นตามไซส์รถ อยู่ที่  350 ลิตร และเพิ่มขึ้นเป็น 1,275 ลิตร เมื่อพับพนักพิงเบาะหลังให้ราบไปกับพื้น สูสีกับ MG ZS EV ซึ่งมีความจุ 359 – 1,187 ลิตร แต่เล็กกว่า BYD Atto 3 ที่มีความจุ 440 – 1,338 ลิตร

 

ภายในห้องโดยสารมีดีไซน์อันทันสมัยไม่หลงยุค บริเวณแผงแดชบอร์ดด้านหน้ามีการติดตั้งอุปกรณ์พื้นฐาน อาทิ พวงมาลัยไซส์เล็กแต่อวบอ้วนจับแล้วกระชับมือ มีหน้าจอกลาง ขนาด 12.9 นิ้ว เอียงหาตัวคนขับ เป็นศูนย์กลางการควบคุมและปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นต่างๆ ของตัวรถที่จัดวางมาดีไม่สลับซับซ้อน การเปลี่ยนเกียร์ใช้วีธีการกดสวิตช์แบบ Piano Type บริเวณใต้ช่องแอร์กลางคอนโซลหน้า มีเบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อม Auto Brake Hold มาให้ ปุ่มกดอยู่บริเวณสวิตช์เกียร์ โดยรวมถือว่าเป็นแดชบอร์ดสายคลีนตามสมัยนิยม  มีการตกแต่งวัสดุบุนุ่มหุ้มหนัง ให้ความรู้สึกดีทั้งในแง่การมองเห็นและการสัมผัสจริง

 

หัวใจของการขับเคลื่อนใน VF6 มีให้เลือก 2 รูปแบบ ในรุ่นเริ่มต้น ECO ขับเคลื่อนด้วยด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permarnent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 120 กิโลวัตต์ (kW) หรือ 177 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion Phosphate (LFP) ความจุ 59.6 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สูงสุด และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สูงสุด 150 kW มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Normal และ Sport สามารถปรับระดับการหน่วงเพื่อกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ 2 ระดับ

สำหรับรุ่น PLUS จะมีใช้แบตเตอรี่และระบบการชาร์จแบบเดียวกันกับรุ่น ECO แต่มีการอัพเกรดมอเตอร์ไฟฟ้า Permarnent Magnet Synchronous Motor ให้มีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้น กำลังสูงสุดอยู่ที่ 150 กิโลวัตต์ (kW) หรือ 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร ตัวเลขเท่ากันกับ BYD Atto 3 และ Honda e:N1 พอดิบพอดี

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน รุ่น Eco มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง อยู่ที่ 399 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) ขณะที่รุ่น Plus จะแล่นได้เป็นระยะทางไกลสุดอยู่ที่ 381 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) เนื่องจากมอเตอร์กินไฟมากกว่า ทั้ง 2 รุ่น สามารถอัดประจุด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) จาก 10 – 70% โดยใช้เวลาประมาณ 31 นาที

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPS) ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบคารบิดกึ่งอิสระ Torsion Beam ส่วนระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็นจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Disc) ด้านหลังเป็นจานเบรกธรรมดา (Solid Disc) เสริมการทำงานด้วยสารพัดตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว ESC (Electronic Stability Control) รวมถึงระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)

ล้อที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน คันที่ทดสอบเป็นล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว รัดด้วยยาง Bridgestone Alenza 001 ขนาด 235/45 R19

 

อัตราเร่งของ VF6 ลองโดยมีผมเป็นผู้ขับขี่ และมีทีม Instructor อีก 3 ท่านนั่งโดยสารไปด้วย น้ำหนักตัว 4 คนรวมกันราวๆ 250 กิโลกรัม ได้ผลลัพธ์ออกมา ดังนี้

อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 8.72 วินาที 

ช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่งไม่แรงอย่างที่คิด แต่พอความเร็วพ้น 35 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป จะเริ่มมีเสียงวี๊ดจากมอเตอร์ไฟฟ้าแผดเข้ามาให้ได้ยินดังขึ้น ราวกับเป็นการส่งสัญญาณว่า “ผมตื่นแล้วครับเจ้านาย” ก่อนที่ความเร็วจะเริ่มพุ่งทะยานเรื่องๆ อย่างต่อเนื่อง และแตะ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ภายในระยะเวลา 8.72 วินาที แม้จะดูไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับรถยนต์พลังขดลวดในยุคนี้ แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าดีดผู้โดยสารออกไป 2 คน น่าจะได้เห็นตัวเลข 8 วิต้นๆ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับ BYD Atto 3 ที่มีแรงม้าเท่ากัน

ระบบขับเคลื่อนของ VF6 นั้น คนขับสามารถตั้งเปิด – ปิด Creep Motor เพื่อเลือกว่าจะให้รถเคลื่อนไปข้างหน้าในช่วงขับคลานในเมืองแบบเกียร์ D ปกติของรถเครื่องยนต์สันดาป หรือบริหารจัดการคันเร่งเอาเอง คล้ายระบบ e-Pedal ของ Nissan Kicks e-Power ซึ่งผมมองว่าอย่างหลังนั้นอาจทำให้คุณประหยัดพลังได้มากกว่ากระจึ๋งนึง

พวงมาลัยของ VF6 มีนำ้หนักเบาปานกลาง อัตราทดเฟืองพวงมาลัยเซ็ตมากำลังดี ไม่ยานเท่า VF5 แต่ก็ไม่ไวเกิน บุคคลิกความเบาและคล่องนี้จะทำให้คุณรู้สึกรักพวงมาลัยของ VF6 เวลาขับลัดเลาะไปตามซอกซอยต่างๆ ในเขตเมือง แต่มันยังไม่ใช่พวงมาลัยที่ทำมาตอบได้ครบทุกโจทย์เหมือน Honda e:N1 ซึ่งมีความคมมากกว่าและมีแรงหน่วงดึงเข้าศูนย์กลางเยอะกว่าในแบบที่ขับเดินทางไกลแล้วไม่เครียด

ช่วงล่างในช่วงวิ่งทางตรงให้ความรู้สึกนิ่งแน่นกว่า VF5 เพราะเซ็ตโช๊คอัพกับสปริงมาแข็งกว่า แถมน้ำหนักตัวก็มากกว่า แต่พอลองทิ้งโค้งหรือหักหลบกระทันหันแบตเตอรี่อันหนักอึ้งก็พาตัวรถเอียงข้างอยู่พอสมควร อาการตอบสนองของรถเวลาเจอโค้งมีความใกล้เคียงกับ BYD Atto 3 และถ้าเทียบกับ Honda e:N1 รายนั้นจะให้ความรู้สึกมั่นใจมากก่วา การเลี้ยวโค้งต่างๆ เป็นไปอย่างแม่นยำกว่า หรือจะเทียบกับ OMODA C5 ซึ่งผมมีโอกาสลองแค่ในสนาม และพบว่าช่วงล่างกับพวงมาลัยของมัน พร้อมบู๊กว่า VF5 อยู่พอตัว

จากการสัมผัสตัวรถเบื้องต้นและลองขับสั้นๆ VF6 มีคุณภาพของตัวรถดีกว่า VF5 อย่างชัดเจน คุณสมบัติของตัวรถ ไม่ว่าจะเป็นด้านสมรรถนะการขับขี่ อุปกรณ์ / อ็อพชั่น รวมถึงดีไซน์และวัสดุที่เลือกใช้ ทำให้ VF6 เป็นรถที่ดีพอที่จะต่อกรกับคู่แข่งอย่าง BYD Atto 3 ได้อย่างสมน้ำสมเนื่อง หากสามารถปรับปรุงในบางหัวข้อให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ เช่น ปรับฟองน้ำเบาะนั่งให้นุ่มขึ้น ปรับช่วงล่างให้เฟิร์มกว่านี้อีกนิด ก็จะทำให้ VF6 มีความสมบูรณ์แบบและลงตัวมากขึ้น

————————————————

 

ถัดมาที่คันสุดท้าย…

VinFast VF7

นี่คือ Crossover SUV อีกหนึ่งรุ่นของค่าย ที่จะบอกว่าเป็น Sub Compact ก็ไม่ใช่ หรือจะเป็น Compact ก็ไม่เชิง ขนาดตัวรถของ VinFast VF7 นั้นอยู่กึ่งกลางระหว่าง VF6 และ VF8 มาพร้อมดีไซน์อันเป็นผลงานจากปลายปากกาของ Torino Design หนึ่งในพาร์ทเนอร์ฝ่ายออกแบบของ VinFast นอกเหนือจาก Pininfarina เปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งาน Paris Motor Show 2022 และเริ่มวางจำหน่ายในตลาดบ้านเกิดปีถัดมา ราคาจำหน่ายในเวียดนามอยู่ที่ 850,000,000 – 1,024,000,000 ดอง คิดเป็นเงินไทยราวๆ 1,235,000 – 1,485,000 บาท (ยังไม่รวมภาษีต่างๆ ของไทย)

ขนาดและมิติตัวถัง

  • ความยาว 4,545 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,890 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,635.75 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ 2,840 มิลลิเมตร
  • ระยะต่ำสุดจากพื้นถึงใต้ท้องรถ Ground Clearance 190 มิลลิเมตร

สาเหตที่ผมไม่อาจนับว่า VF7 เป็น Compact Crossover ได้อย่างเต็มปากเพราะมีขนาดลำตัวเล็กกว่าทั้ง Tesla Model Y, BMW iX3, Deepal S07 หรือแม้กระทั่งรถกลุ่มเครื่องยนต์สันดาปอย่าง Honda CR-V และ Haval H6 ก็ยังมีลำตัวยาวกว่า VF7 อยู่หลักร้อยกว่ามิลลิเมตร

  • Deepal S07 : 4,750 x 1,930 x 1,625 / 2,900 มิลลิเมตร
  • Tesla Model Y : 4,751 x 1,921 x 1,624 / 2,890 มิลลิเมตร
  • BMW iX3 : 4,734  x 1,891 x 1,668 / 2,864 มิลลิเมตร
  • Hyundai Ioniq 5 : 4,635 x 1,890 x 1,605 / 3,000 มิลลิเมตร
  • Honda CR-V : 4,691 x 1,866 x 1,691 / 2,700 มิลลิเมตร
  • Haval H6 : 4,683 x 1,886 x 1,730 / 2,738 มิลลิเมตร

ภายนอกของ VF7 มาสไตล์เดียวกับรถตระกูล VF ซีรีย์เลขคี่ (VF3/VF5 และ VF9) แนวคาเป็นแบบ Floating Roof มีการตกแต่งเสา A-Pillar ด้วยสีดำ เส้นสายต่างๆ มีความตัดตรงมากกว่าซีรีย์เลขคู่ วัสดุตกแต่งตามจุดต่างๆ มีการอัพเกรดมาใช้สีดำ Gloss Black เสริมด้วยแถบสีเงา ทำให้ดูพรีเมียมขึ้นตามเซกเมนต์ของรถ นอกจากนี้ เปิดจับเปิดประตูยังเปลี่ยนมาใช้แบบ Flush Door Handle เรียบไปกับตัวถัง เป็นแนวคิดเดียวกับรถยุคใหม่ซึ่งช่วยให้อากาศไหลผ่านตัวรถเป็นระเบียบมากขึ้นและทำให้รถดูล้ำขึ้น แต่ในแง่การใช้งานมือจับเก่ายังให้สะดวกมากกว่า

 

เบาะนั่งคู่หน้าของ VF7 แทบจะยกมาจาก VF6 เกือบทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับด้วยไฟฟ้าได้ 8 ทิศทาง ส่วนรองรับลำตัวมีความแบนราบ เวลานั่งแล้วจะรู้สึกลอยๆ คล้าย VF6 แต่เบาะของ VF7 จะกว้างกว่านิดหน่อย นั่งแล้วรู้สึกอึดอัดน้อยกว่า ด้านวัสดุเป็นหนังสังเคราะห์แบบ Vegan เลือกได้ทั้งสีดำล้วน หรือสีทูโทน Cotton Beige ตัดับสีดำ ความเรียบร้อยของฝีเข็ม รวมถึงผิวสัมผัสของเบาะนั่งยังห่างจากรถจีนอย่าง Deepal S07 หรือ BYD SeaLion 7 อยู่หลายขุม

เบาะหลังนั่งด้านหลัง มีองศาเบาะรองนั่งและพนักพิงหลังเอียงกำลังดี และมีปัญหาเดียวกับ VF6 คือต้องนั่งชันเข่านิดๆ ความสบายของผู้โดยสารด้านหลัง หากนับเฉพาะตัวเบาะ Deepal S07 และ BYD Sealion 7 ทำออกมาได้ดีกว่า VF7 มาก แต่ VinFast ก็สามารถทำคะแนนตีตื้นคู่แข่งจากจีนได้ในด้านพื้นที่ Leg Room ที่มีให้แหกแข้งขามากกว่า นั่งไขว่ห้างได้แบบชิลๆ

 

พอเป็นรถไซส์ใหญ่ขึ้น อุปกรณ์ต่างๆ ก็ย่อมมีมาให้มากขึ้น ฝากระโปรงท้ายของ VF7 เป็นแบบค้ำยันด้วโช๊คอัพไฮดรอลิก สามารถสั่งเปิด – ปิดได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส อย่างไรก็ตามพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังยังคงเล็กกระจิ๋ว ไม่ได้ใหญ่โตขึ้นตามไซส์รถอย่างที่ควรจะเป็น ความจุของ Trunk อยู่ที่  374 ลิตร และเพิ่มขึ้นเป็น 1370.5 ลิตร เมื่อพับพนักพิงเบาะหลังให้ราบไปกับพื้น จุดนี้ Deepal S07 ซึ่งมีความจุ 445 – 1,385 ลิตร รับผิดชอบหน้าที่ความเป็นรถอเนกประสงค์ได้ดีกว่า

 

แผงแดชบอร์ดและห้องโดยสารตอนหน้า เมื่อดูแค่รูปคุณอาจว่ามันคือ VF6 เพราะดีไซน์แผงแดชบอร์ด พวงมาลัย หน้าจอกลาง รวมถึงสวิตช์คันเกียร์ไฟฟ้า แทบเหมือนกันทุกประการ แต่หากใช้เครื่องมือมาวัด ภายในของ VF7 จะมีความกว้างกว่าเล็กน้อย อีกทั้งยังมีแผงคอนโซลกลางที่กว้างขึ้น มีอุปกรณ์ต่างๆ เพิ่มขึ้น อาทิ ช่องวางแก้วน้ำ 3 ตำแหน่ง และแท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger ตลอดจนมีการตกแต่งด้วยวัสดุบุมในส่วนที่ติดกับหัวเข่าเพิ่มเข้ามา ให้รู้สึกถึงความเป็นรถราคาแพงขึ้น แต่แอบเบียดขามากกว่า

 

VF7 มีความแรงให้เลือก 2 ระกับ รุ่นเริ่มต้น Eco ขับเคลื่อนด้วยด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า Permarnent Magnet Synchronous Motor กำลังสูงสุด 150 กิโลวัตต์ (kW) หรือ 204 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Lithium-ion Phosphate (LFP) ความจุ 75.3 kW รองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สูงสุด และรองรับการชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) สูงสุด 150 kW มีโหมดการขับขี่ให้เลือก 3 รูปแบบ ได้แก่ Eco, Normal และ Sport สามารถปรับระดับการหน่วงเพื่อกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ได้ 2 ระดับ

ถ้าคิดว่า Eco จืดไป เขามีรุ่น Plus ซึ่งใช้แบตเตอรี่และระบบการชาร์จแบบเดียวกัน แต่เพิ่มมอเตอร์ไฟฟ้า Permarnent Magnet Synchronous Motor ที่ล้อคู่หลังมาอีก 1 ตัว มีพละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบ 260 กิโลวัตต์ (kW) หรือ 353 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD

ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน รุ่น Eco มีระยะทางวิ่งสูงสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง อยู่ที่ 450 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) ขณะที่รุ่น Plus จะแล่นได้เป็นระยะทางไกลสุดอยู่ที่ 431 กิโลเมตร (มาตรฐาน WLTP) เนื่องจากมอเตอร์กินไฟมากกว่า ทั้ง 2 รุ่น สามารถอัดประจุด้วยไฟฟ้ากระแสตรง (DC Charging) จาก 10 – 70% โดยใช้เวลาประมาณ 31 นาที

ระบบบังคับเลี้ยวเป็นพวงมาลัยแบบ Rack & Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPS) ระบบกันสะเทือนด้านหน้าเป็นแบบอิสระ MacPherson Strut ด้านหลังเป็นแบบคารบิดกึ่งอิสระ Torsion Beam ส่วนระบบห้ามล้อด้านหน้าเป็นจานเบรกแบบมีครีบระบายความร้อน (Ventilated Disc) ด้านหลังเป็นจานเบรกธรรมดา (Solid Disc) เสริมการทำงานด้วยสารพัดตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Distribution) ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว ESC (Electronic Stability Control) รวมถึงระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA (Hill Start Assist)

VF7 รุ่น Eco จะได้ล้ออัลลอย ขนาด 19 นิ้ว ขณะที่รถทดสอบซึ่งเป็นรุ่น Plus จะขยับมาใช้ล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยาง GoodYear Eagle F1 Asymmetric SUV ขนาด 245/45 R20

 

อัตราเร่ง VF7 ขณะโดยสาร 4 คน น้ำหนักรวมประมาณ 250 กิโลกรัม

อัตราเร่ง 0 – 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 5.90 วินาที 

การมีมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มเข้ามาอีก 1 ตัว ทำให้ VF7 สามารถเร่งความเร็วจากจุดหยุดนิ่งผ่าน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 5.90 วินาที แม้มีผู้โดยสารนั่งเต็มคัน หากทดสอบตามมาตรฐานปกติของเว็บ เชื่อว่า VF7 จะสามารถกดเวลาลงได้อีกราวๆ 0.3 – 0.5 วินาที ซึ่งนั่นก็ถือว่าแรงใกล้เคียง Lexus RZ450e ป้วนเปี้ยนอยู่กลางๆ ค่อนบนของตารางอัตราเร่งกลุ่ม BEV การตอบสนองของมอเตอร์ไฟฟ้ามีความฉับไว พร้อมระเบิดพลังออกมาทันทีที่กดคันเร่ง เหยียบแค่ไหน พุ่งขึ้นเท่านั้น โดยไม่มีอาการหน่วงใดๆ เกิดขึ้นเลย

พวงมาลัยมีนิสัยคล้าย VF6 เซ็ตอัตราทดมากำลังดี ไม่ยานและไม่ไวเกิน แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงหน้ายางที่กว่าขึ้นของ VF7 เลยทำให้มีน้ำหนักหนืดมากกว่า ในช่วงออกตัว อาการ Torque Steer ถือว่าน้อยมาก แทบไม่รู้สึกอาการขืนมือและวอกแวกไปตามผิวถนนไม่เรียบ แบบที่เจอมาใน VF6 เลย ส่วนด้านความประพฤติของช่วงล่าง เน้นเอาดีทางด้านนุ่ม การหักหลบกระทันหันตัวรถยังคงโยนโย้เหมือน V6 แต่ในจังหวะตั้งลำตรง รู้สึกว่าโช๊คและสปริงคุมอาการโยนตัวของรถได้อยู่หมัดกว่า VF6 นิดนึง

ด้านการเก็บเสียง เป็นที่น่าแปลกใจว่า VF7 ซึ่งเป็นรถไซส์โตสุด และราคาน่าจะแพงสุด แต่กลับไม่สามารถทำภายในให้เงียบขึ้นกว่าบรรดารุ่นน้องเลย ที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียงกระแสลมปะทะกระจกบังลมหน้าแผดดังเข้ามารบกวนโสตประสาทอยู่พอสมควร มันดังจนกระทั่งผมคิดในใจว่า รถทดสอบคันนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ? มันถึงขนาดนั้นเลยล่ะ

บทสรุปเบื้องต้นสำหรับ VF7 หากคุณเป็นคนที่ต้องการซื้อ VinFast เพราะต้องการลองของใหม่ VF7 เป็นรถที่ยินดีแนะนำมากที่สุดจากทั้งหมด 3 รุ่น มันดีพอที่จะฟัดกับคู่แข่งต่างๆ ในตลาด EV Sub Compact Crossover ได้อย่างสมนำ้สมเนื้อ (แต่ยังไม่เทียบชั้นรถไซส์ Compact แท้ๆ อย่าง Deepal S07 หรือ BYD SeaLion 7) และน่าจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของรถยนต์ VinFast ในสายตาผู้บริโภคชาวไทย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ถูกเลือกให้เป็นทัพหน้าในการลุยศึกครั้งนี้ อาจเพราะทางค่ายมองว่า Segment ของ VF5 มีแน้วโน้มขายได้มากกว่า

 

บทสรุปเบื้องต้น 

VF5 มิถุนายน นี้ เจอกันแน่! เปิดราคามาให้ปังก็แล้วกัน
VF6 น่าสนใจไม่น้อย ถ้าเอามาขายแข่งกับ BYD Atto 3
VF7 ตัวเล็กไปหน่อย หากจะบอกว่าเป็น Compact SUV แต่ลองขับแล้วมีดีกว่าที่คิด 

การได้มาลองขับ VinFast รุ่นใหม่ๆ ในคราวนี้ นอกจากจะได้สัมผัสกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของพวกเขา ทั้งที่จะถูกส่งมาจำหน่ายในประเทศไทย และรุ่นที่มีสิทธิ์ทยอยตามมาในอนาคต ยังถือเป็นการช่วยเปิดหูเปิดตาให้ผมค้นพบถึงความก้าวหน้าของของแบรนด์รถยนต์จากชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ณ วันนี้ Vingroup กำลังพยายามปลุกปั้นแบรนด์ VinFast เพื่อให้ถึงพร้อมที่จะส่งออกไปบุกตลาดอื่นๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาเหนือ แคนาดา ยุโรป ในจีน ฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย และไทย

สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนทิศทางจากการทำตลาด VinFast ในประเทศอย่างเดียวไปเป็นนานาชาติ เนื่องจากผู้บริการเขามองว่าประเทศเวียดนามนั้นมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้จำเป็นต้องขยายตลาดไปในภูมิภาคและประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ พวกเขายังต้องการทำให้แบรนด์รถยนต์ประจำชาติเวียดนามเป็นที่ยอมรับในระดับโลก โดยการพิสูจน์ว่าตัวรถมีมาตรฐานเพียงพอ พร้อมทั้งลบภาพลักษณ์ที่ชาวโลกมองเวียดนาม เป็นประเทศล้าหลังและยากจน

ในความเห็นของผม ด้านฐานการผลิตและเงินลงทุน VinFast มีศักยภาพและความพร้อมอยู่เต็มพิกัด โรงงานผลิตรถยนต์ ณ เมืองไฮฟอง ประเทศเวียดนาม มีเทคโนโลยีมากมาย เฉพาะโรงเชื่อมรถยนต์แห่งเดียวมีหุ่นยนต์ 1,200 ตัว และมีอัตราการทำงานแบบอัตโนมัติถึง 98% มีความทันสมัยทัดเทียมกับหลายแบรนด์ในระดับนานาชาติ ขณะที่ด้านตัวรถ หากเป็นรุ่น VF6 และ VF7 ภาพรวมถือว่าเป็นรถยนต์ที่มีคุณงามในบางด้านให้เอ่ยถึง แต่สำหรับรุ่น VF5 นั้น ยังต้องปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้อีกพอสมควร แม้จะเหลือเวลาอีกไม่นานก่อนถังวันเปิดตัว ผมก็ยังหวังว่า VinFast จะปรุงแต่งอาหารจานแรกที่เตรียมเสิร์ฟ ให้มีรสชาติถูกปากลูกค้าชาวไทยมากกว่าที่เป็นอยู่ หรือไม่ ก็อาจจะต้องใช้กลยุทธ์การทำราคาเข้ามาช่วย

ซึ่งอย่างหลังนั้นดูจะเป็นไปได้ยาก เพราะผู้บริหารฝั่งไทยค่อนข้างมั่นใจใน Value ของตัวรถ และยืนยันว่าจะใช้ Value (ที่ไม่ได้ระบุชัดว่าเป็นด้านใด) ที่ว่านี้ เป็นจุดขาย…

นับเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของการเป็นแบรนด์ใหม่ตลาด ซึ่งการปูพื้นฐานของแบรนด์หรือการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่ดีในสายตาผู้บริโภคนั้น ไม่อาจบรรลุได้ด้วยคำโฆษณาอันสวยหรู แต่เป็นการมอบสิ่งที่ดีให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นด้านตัวรถหรือการบริการ การก้าวเข้ามาสู่ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยของ VinFast ในครั้งนี้ สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าคู่แข่งและภาพหลักของการเป็นรถจากประเทศกำลังพัฒนา..คือคุณภาพของตัวรถรวมถึงการบริการ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

การที่ Vingroup จะบรรลุพันธกิจ ดังประโยคที่ว่า”สู่ชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน” ภารกิจหลักของพวกคุณก็คือ… การทำรถ VinFast ออกมาให้ดี มีคุณภาพเหมาะสมกับราคา ปลอดปัญหากวนใจ และมอบบริการหลังการขายที่ไร้ความน่ากังวลให้แก่ลูกค้า

หาก Mission นี้ Complete​ ไม่ว่าก้อนอิฐในมือคู่แข่งหรือคนที่ยังมีอคติ ก็ไม่อาจทำอะไรพวกคุณได้ แต่ถ้า Incomplete ก็คงต้องเหนื่อยหน่อย

————————///————————

ขอขอบคุณ / Spacial Thanks to :
บริษัท VinFast Auto (Thailand) จำกัด
เอื้อเฟื้อการเดินทาง และ
ประสานงานต่างๆ 

QCXLOFT (Yutthapichai Phantumas)
สงวนลิขสิทธิ์ ทั้งบทความ โดยผู้เขียน
ลิขสิทธิ์ภาพถ่าย ทั้งหมด เป็นผลงานของผู้เขียน
ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
เผยแพร่ครั้งแรกใน www.Headlightmag.com
30 พฤษภาคม 2024

Copyright (c) 2013 Text and Pictures
Use of such content either in part or in whole
without permission is prohibited.
First publish in www.Headlightmag.com
May 30th, 2024