KIA เปิดตัวรถกระบะคันแรกที่ออกจำหน่ายในตลาดโลกนอกเหนือไปจากประเทศเกาหลีใต้ด้วยชื่อรุ่นแปลกใหม่ Tasman โดยจะยังไม่ได้ทำตลาดในอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลางและแอฟริกา

ใบหน้าที่มีความดุดันบึกบึนสร้างความแตกต่างกับคู่แข่งในรถกระบะพิกัด 1 ตันได้อย่างชัดเจน ติดตั้งโคมไฟหน้าทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้งที่กินพื้นที่ไปยังมุมของซุ้มล้อคู่หน้า รวมไปถึงฝากระโปรงที่มีรูปทรงโหนกบริเวณขอบด้านหน้ารองชิ้นส่วนกระจังหน้าได้เป็นอย่างดี

 

มาพร้อมรูปแบบตัวถังที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นแบบ single cab หรือ double cab พร้อมกับรูปแบบโครงกระบะเปล่าสำหรับนำไปดัดแปลงเพิ่มเติมตามวัตถุประสงค์การใช้งาน โดยเลือกใช้โครงสร้างตัวถังแบบเฟรมแชสซี พร้อมรับมือการบรรทุกได้เต็มรูปแบบ

ด้านข้างมาพร้อมพลาสติกตกแต่งซุ้มล้อทรงแปลกตาที่ไม่ได้ห่อหุ้มบริเวณซุ้มล้อทั้งหมด มีเพียงส่วนด้านบนของซุ้มล้อเท่านั้น ยังไงก็ตามจะมีออฟชั่นพลาสติกตกแต่งซุ้มล้อแบบเต็มชิ้นออกมาให้เลือกในภายหลัง ตามกระบะท้ายแสตมป์เป็นตัวอักษรของค่าย KIA เพิ่มความโดดเด่น

 

มิติตัวถังภายนอก

  • ความยาว 5,410 มิลลิเมตร
  • ความกว้าง 1,930 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,870 – 1,920 มิลลิเมตร
  • ความยาวฐานล้อ 3,270 มิลลิเมตร
  • ระยะต่ำสุดใต้ท้องรถ 224 – 252 มิลลิเมตร

 

ภายในมาพร้อมกับหน้าจอกลางขนาด 12.3 + 5 นิ้ว ตามแบบฉบับของ KIA รุ่นใหม่ๆ และหน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว อย่างไรก็ตามทาง KIA ยังคงติดตั้งปุ่มควบคุมแบบกดและหมุนสำหรับการเรียกใช้ฟังก์ชั่นที่จำเป็นและใช้งานบ่อยได้อย่างสะดวก

มาพร้อมกับความสบายในห้องโดยสารด้านหลังโดยมีพื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่วางขามากกว่าคู่แข่ง รวมไปถึงมุมเอนของพนักพิงด้านหลังที่สามารถปรับได้ระหว่าง 22 ถึง 30 องศา นอกจากนี้ยังสามารถยกแผ่นรองนั่งของเบาะขึ้นเพื่อใช้เก็บ ติดตั้งแท่นชาร์จโทรศัพท์มือถือถึง 2 ตำแหน่ง เครื่องเสียง premium จากแบรนด์ Harman Kardon โต๊ะพับอเนกประสงค์และมือจับขณะขึ้นรถบริเวณเสา A

 

อีกหนึ่งไฮไลท์ได้แก่บรรดาอุปกรณ์ตกแต่งและอุปกรณ์เสริมอีกจำนวนกว่า 13 รายการที่เหมาะสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานไม่ว่าจะเป็นการบรรทุกที่บริเวณกระบะท้ายหรืออำนวยความสะดวกในการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเพิ่มเติม

 

ขุมพลังที่เลือกใช้มีให้เลือก 2 รูปแบบ ได้แก่

เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร Turbo 281 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 421 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร เคลมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายในเวลา 8.5 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed 185 km/h

ดีเซล 4 สูบ 2.2 ลิตร Turbo 210 แรงม้า สูงสุด 441 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ความจุถังน้ำมัน 80 ลิตร เคลมอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร / ชั่วโมง ภายในเวลา 10.4 วินาที ความเร็วสูงสุด Top Speed 185 km/h

 

ทั้ง 2 ขุมพลัง มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ Part-time 4WD + Full-time 4WD พร้อมเฟืองท้ายแบบ e-LD และมีโหมดการขับเคลื่อนให้เลือก 4 รูปแบบ ทั้ง 2H, 4A, 4H และ 4L นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่น Terrain Mode สำหรับปรับการกระจายแรงบิดให้เหมาะกับสภาพถนนแต่ละรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Snow, Mud และ Sand

เฉพาะรุ่น X-Pro เท่านั้น ที่มีฟังก์ชั่นพิเศษเพิ่มเติมเข้ามาให้ อาทิ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติในช่วงความเร็วต่ำ (Low Speed Driving Assist) และโหมดการขับขี่บนพื้นหิน (Rock Mode) จุดเด่นอยู่ที่พละกำลังในการฉุดลากน้ำหนักที่สามารถทำได้สูงถึง 7,716 ปอนด์

 

ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ อิสระปีกนกคู่ Double Wishbone ด้านหลังเป็นแบบ แหนบแผ่นซ้อน พร้อมโช๊คอัพแบบปรับค่าความหนืดได้ Selective Sensitive Damper Control: SDC ที่ถูกปรับแต่งมาเพื่อรองรับน้ำหนักบรรทุกและการลุยฝ่าอุปสรรคต่างๆได้เป็นอย่างดี ทำงานร่วมกับล้อลอยขนาด 17 หรือ 18 นิ้ว จุดเด่นอยู่ที่พละกำลังในการฉุดลากน้ำหนักที่สามารถทำได้สูงถึง 7,716 ปอนด์

กำหนดการวางจำหน่ายของรถกระบะรุ่นนี้จะเกิดขึ้นในเกาหลีใต้บ้านเกิดเป็นที่แรกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 หลังจากนั้นจะเริ่มทยอยทำตลาดในออสเตรเลียแอฟริกาตะวันออกกลางตามลำดับ อย่างไรก็ตามทางค่ายได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าตลาดหลักของรถกระบะรุ่นนี้จะอยู่ในซาอุดิอาระเบียดังที่เห็นได้จากการเลือกเวทีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมยานยนต์ Jeddah International Motor Show

แผนการเปิดตัวรถกระบะเวอร์ชั่นกำลังไฟฟ้าล้วนยังคงมีอยู่โดยจะมาในปี 2027 ภายหลังจากที่มีการพรางตัววิ่งทดสอบในสหรัฐอเมริกาช่วงก่อนหน้านี้ รวมไปถึงการเตรียมวางจำหน่ายในภูมิภาคอื่นๆ นอกเหนือจากอเมริกาเหนืออีกด้วย

ที่มา: Motor1