Toyota เดินหน้าเปิดตัวรถ EV ตัวถัง Crossover อย่างเต็มสูบ ลบคำสบประหม่าได้เป็นอย่างดี โดยรุ่นล่าสุดเปิดตัวที่สหรัฐอเมริกาด้วยการนำ C-HR+ ที่เปิดตัวไปก่อนหน้าในยุโรป มาเปลี่ยนชื่อให้สั้นลงโดยการตัดเครื่องหมาย + ออกไป ยังคงไว้ซึ่งดีไซน์โฉบเฉี่ยว สมรรถนะอันเร้าใจ เทคโนโลยีทันสมัย และระบบความปลอดภัยครบครันเช่นเดิม 

 

ดีไซน์ภายนอกเน้นความสปอร์ตและโฉบเฉี่ยวตามแนวทางการออกแบบของค่าย “Hammerhead” หรือฉลามหัวค้อน ที่เห็นไดในรุ่น Prius Crown เป็นต้น พร้อมไฟหน้าแบบ LED และไฟท้ายลากยาวต่อเนื่องกันตลอดความกว้างตัวรถ เสริมความทันสมัยให้ตัวรถอย่างลงตัว 

 

ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ติดตั้งแท่นชาร์จสมาร์ทโฟนแบบไร้สายจำนวน 2 ตำแหน่ง ช่องชาร์จ USB สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง รวมถึงระบบควบคุมแอร์สำหรับห้องโดยสารด้านหลัง อีกทั้งยังมี หลังคา Panoramic Roof แบบโปร่งใสที่เปิดรับแสงธรรมชาติ ช่วยให้ห้องโดยสารดูโปร่งโล่งและสว่างสบายตาในทุกมุมมอง พร้อมเบาะหลังพับแยกแบบ 60/40 และพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายสูงสุด 720 ลิตร 

 

จุดเด่นของ C-HR (BEV) มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ให้พละกำลังรวมสูงสุด 338 แรงม้า ขับเคลื่อน 4 ล้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-AWD) พร้อมอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในประมาณ 5 วินาที มอบประสบการณ์ขับขี่ที่คล่องตัวและเร้าใจยิ่งกว่าที่เคย ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 74.7 kWh ช่วยให้สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดถึง 290 ไมล์ (ประมาณ 467 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน EPA รองรับการชาร์จเร็ว DC Fast Charging จาก 10-80% ภายใน เวลาประมาณ 30 นาที

ติดตั้งแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย Paddle Shifter ซึ่งใช้สำหรับการเปิดใช้งานและปรับระดับการชะลอความเร็วด้วยระบบเบรกแบบสร้างพลังงานกลับคืน (Regenerative Braking) เพื่อชาร์จกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ โดยผู้ขับขี่สามารถปรับระดับความแรงของการเบรกได้ถึง 4 ระดับผ่านแป้นที่พวงมาลัย 

 

Toyota C-HR (BEV) สำหรับตลาดสหรัฐอเมริกามีให้เลือก 2 รุ่นย่อยได้แก่ C-HR BEV รุ่น SE และ รุ่น XSE ซึ่งมีความแตกต่างทั้งในด้านอุปกรณ์ตกแต่ง สมรรถนะ และระบบความปลอดภัยเพิ่มเติม ดังนี้:

รุ่น SE (Standard Electric) รุ่นเริ่มต้นสำหรับผู้ที่มองหาความคุ้มค่าในการเริ่มต้นใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมฟีเจอร์มาตรฐานที่เพียงพอสำหรับการใช้งานประจำวัน

  • ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว
  • ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อไฟฟ้า (e-AWD)
  • มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ 338 แรงม้า
  • หน้าจอสัมผัสขนาด 12.3 นิ้ว
  • ระบบ Toyota Safety Sense 3.0 ครบชุด
  • เบาะหนังสังเคราะห์ SofTex®
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
  • รองรับ Apple CarPlay® / Android Auto™ แบบไร้สาย

รุ่น XSE (eXtreme Sport Electric) รุ่นท็อปที่ให้ความพรีเมียมยิ่งขึ้นทั้งภายในและภายนอก มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยขับขี่ขั้นสูง และความปลอดภัยรอบด้าน จุดเด่นเพิ่มเติมจาก SE

  • ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วดีไซน์สปอร์ต
  • หลังคาทูโทนสีดำพร้อมซันรูฟ
  • ระบบไฟหน้า LED โปรเจกเตอร์
  • ระบบ Traffic Jam Assist
  • ระบบ Lane Change Assist
  • กล้องรอบคัน Panoramic View Monitor
  • ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Monitor
  • ระบบ Safe Exit Alert
  • ระบบจดจำผู้ขับขี่ (Driver Recognition)
  • หน้าจอสัมผัสขนาด 14 นิ้ว
  • ลำโพงคุณภาพสูง

Toyota C-HR (BEV) ปี 2026 มาพร้อมชุดความปลอดภัยมาตรฐาน Toyota Safety Sense 3.0 ที่ประกอบด้วย:

  • ระบบเบรกก่อนการชนพร้อมตรวจจับคนเดินถนนและจักรยาน
  • ระบบควบคุมความเร็วแบบแปรผัน Dynamic Radar Cruise Control
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและเตือนเมื่อออกนอกเลน
  • ระบบไฟสูงอัตโนมัติ
  • ระบบช่วยอ่านป้ายจราจร

สำหรับรุ่น XSE ยังมีฟีเจอร์เสริมด้านความปลอดภัยขั้นสูง เช่น:

  • Traffic Jam Assist – ขับแบบกึ่งอัตโนมัติเมื่อรถติด
  • Lane Change Assist – ช่วยเปลี่ยนเลนอัตโนมัติเมื่อปลอดภัย
  • กล้องมองภาพรอบคัน (Panoramic View Monitor)
  • Blind Spot Monitor และ Rear Cross-Traffic Alert
  • Safe Exit Alert – เตือนก่อนเปิดประตูหากมีรถหรือจักรยานผ่าน

Toyota C-HR (BEV) ปี 2026 เตรียมเริ่มวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาภายในปี 2026 นี้ โดยยังไม่มีการประกาศราคาทางการ คาดว่าจะตั้งราคาจำหน่ายเริ่มต้นใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้าคอมแพคท์ในกลุ่มเดียวกัน ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ครบเครื่องทั้งด้านดีไซน์ สมรรถนะ และความปลอดภัย สำหรับผู้ที่มองหารถยนต์ไฟฟ้าขนาดกลางในยุคใหม่

ที่มา: Toyota US