Dodge ประกาศเปิดตัวไลน์อัป Charger Daytona ปี 2026 อย่างเป็นทางการ โดยไฮไลต์สำคัญคือการเพิ่มตัวถัง liftback sedan ใหม่ ที่ผสานรูปลักษณ์สุดดุดันของรุ่นคูเป้เข้ากับความอเนกประสงค์ของรถซีดานท้ายลาดแบบ 5 ประตู liftback หรือ fastback ด้วยการออกแบบที่ใช้พื้นฐานเดียวกัน ทั้งกันชนหน้า หลังคาและฝาท้าย ทำให้ทั้ง 2 เวอร์ชันดูเหมือนฝาแฝดในเวอร์ชันต่างสไตล์ ยากที่จะแยกความแตกต่างในภาพรวม

ถึงแม้มิติตัวถังจะยังคงเท่ากับรุ่นคูเป้ แต่ซีดานใหม่นี้มีความโดดเด่นด้านการใช้งานที่มากกว่า โดยให้พื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังถึง 945 มม. และพื้นที่เก็บสัมภาระที่ขยายได้สูงสุด 1,059 ลิตร ถือเป็นการปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคใหม่ที่ต้องการทั้งสมรรถนะและการใช้งานในชีวิตประจำวัน

 

ภายในห้องโดยสารตกแต่งอย่างหรูหราด้วยหน้าจอแสดงการขับขี่แบบ Full Digital ขนาด 16 นิ้ว ประกบด้วยระบบ Infotainment Uconnect เจเนอเรชั่นที่ 5 ขนาด 12.3 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย มาพร้อมพวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมระบบอุ่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกฝั่งซ้าย-ขวา เบาะนั่งหุ้มด้วยผ้าผสมหนังสังเคราะห์

ด้านระบบความปลอดภัย Charger Daytona ใหม่ยังจัดเต็มด้วยเทคโนโลยีช่วยขับขี่ขั้นสูง เช่น Adaptive Cruise Control พร้อมระบบ Stop & Go ระบบช่วยควบคุมเลน Active Lane Management ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบตรวจจับจุดอับสายตา พร้อมฟีเจอร์แจ้งเตือนรถตัดผ่านด้านหลังและระบบช่วยเตือนการชนด้านหน้าแบบ Full-Speed

 

สำหรับผู้ที่มองหาความหรูหรามากยิ่งขึ้น รุ่น Plus จะเพิ่มฟีเจอร์อย่างไฟหน้า LED แบบโปรเจคเตอร์ ฝาท้ายเปิด-ปิดไฟฟ้า frunk หรือช่องเก็บของด้านหน้า ระบบชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย ระบบไฟตกแต่งภายในแบบเปลี่ยนสีได้ถึง 64 สี พวงมาลัยปรับระดับด้วยไฟฟ้า กล้องมองภาพรอบคัน ParkView 360 และระบบกันขโมยขั้นสูง

นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถเลือกเพิ่มหลังคากระจก Panoramic roof ระบบเครื่องเสียงจาก Alpine แบบ 18 ลำโพง ชุดตกแต่ง Carbon & Suede หรือแพ็กเกจ Blacktop ที่มาพร้อมตราโลโก้สีดำและล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วสีเข้ม สำหรับเพิ่มความโดดเด่นภายนอก

 

ด้านขุมพลังสำหรับรุ่นปี 2026 นี้จะมีเฉพาะรุ่น Scat Pack ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่แบบ All-Wheel Drive ให้กำลังสูงสุด 630 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 849 นิวตัน-เมตร พร้อมฟังก์ชัน PowerShot ที่สามารถเพิ่มกำลังชั่วคราวอีก 40 แรงม้า รวมสูงสุด 670 แรงม้า เป็นเวลา 10 วินาที สำหรับการเร่งแซงหรือใช้งานแบบสปอร์ต ทำงานร่วมกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 100.5 kWh

ทั้งรุ่นคูเป้และซีดานสามารถเร่งจากความเร็ว 0-96 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 3.3 วินาที ทำเวลาควอเตอร์ไมล์ในภายใน 11.5 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 217 กม./ชม. มีระยะทางวิ่งสูงสุดอยู่ที่ 388 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง 

 

การชาร์จไฟสามารถทำได้รวดเร็วโดยใช้เครื่องชาร์จ DC กำลังสูงสุด 350 kW ชาร์จไฟจาก 20–80% ได้ภายใน 24 นาที หรือประมาณ 42 นาทีหากใช้กำลังสูงสุด 175 kW ส่วนการชาร์จแบบ AC ที่บ้านด้วย Wallbox กำลังสูงสุด 11 kW จะใช้เวลาประมาณ 5.4 ชั่วโมงจาก 20–80%

สำหรับใครที่ยังต้องการสมรรถนะขั้นสูงสุดในรุ่นยังสามารถเลือกติดตั้งแพ็กเกจ Track ที่มาพร้อมล้ออลูมิเนียมขนาด 20 นิ้ว ระบบเบรก Brembo แบบคาลิเปอร์หน้า 6 ลูกสูบ หลัง 4 ลูกสูบ ช่วงล่างแบบ Adaptive Damping สปอยเลอร์หลังสีดำเงา ระบบบันทึกการขับขี่แบบ Track Recorder และเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังและหนังกลับแบบสปอร์ตพร้อมพนักพิงศีรษะแบบติดตายตัว

 

Dodge ได้เปิดให้สั่งจองทั้งรุ่นคูเป้และซีดาน Model year 2026 แล้ว โดยมีกำหนดเริ่มส่งมอบในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 แม้ยังไม่เปิดเผยราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม ยังมีมีแผนเปิดตัวรุ่น Charger Sixpack ในช่วงปลายปีนี้ มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์สันดาปภายใน Hurricane แบบ 6 สูบ ความจุ 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ มีให้เลือก 2 ระดับพละกำลัง คือ 420 และ 550 แรงม้า สำหรับผู้ที่ยังหลงใหลเสียงเครื่องยนต์เบนซินแบบดั้งเดิม

ที่มา: Carscoops