Toyota ยังคงเดินหน้าสร้างตำนานบทใหม่ให้กับ GR Supra ก่อนปิดสายพานการผลิตในเจอเนอเรขั่นนี้ด้วยการเปิดตัวรุ่นพิเศษ A90 Final Edition และรุ่นอัปเกรด Lightweight EVO สำหรับปี 2025 โดยทั้งสองรุ่นได้รับการพัฒนาโดย TOYOTA GAZOO Racing (TGR) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสนามแข่ง เพื่อมอบประสบการณ์ขับขี่ที่เร้าใจและตอบสนองได้ทันใจกว่าเดิม พร้อมเปิดรับจองแล้วสำหรับลูกค้าในยุโรป











เริ่มกันที่ GR Supra A90 Final Edition ที่นับว่าเป็นเวอร์ชั่นครบครันที่สุดของ Supra เจเนอเรชัน A90 ที่ผ่านการปรับปรุงในทุกด้าน ตั้งแต่ขุมพลังที่อัปเกรดใหม่ให้แรงม้าสูงสุดถึง 441 แรงม้า และแรงบิด 571 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ เฉพาะรุ่น และความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 275 กม./ชม.
ติดตั้งระบบระบายความร้อนใหม่ รวมถึงเพิ่มแผ่นกั้นในอ่างน้ำมันเครื่องเพื่อรองรับการขับขี่ภายใต้แรงจีสูง การปรับช่วงล่างใช้โช้คอัพแบบปรับระดับของ KW เช่นเดียวกับที่ใช้ในรถแข่ง GR Supra GT4 รวมถึงเปลี่ยนเหล็กกันโคลงหน้าและองศาล้อใหม่เพื่อการควบคุมที่เฉียบคมยิ่งขึ้น







ระบบเบรกของ A90 Final Edition มาพร้อมจานเบรกคู่หน้าแบบเจาะรูขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 395 มม. พร้อมคาลิเปอร์จาก Brembo และสายเบรกสแตนเลส ส่วนล้อหน้า-หลังใช้ขนาด 19 และ 20 นิ้วตามลำดับ พร้อมยางสมรรถนะสูง Michelin Pilot Sport Cup 2 หน้ากว้างขึ้น 10 มม. เพื่อการยึดเกาะและสมดุลในโค้งได้ดียิ่งขึ้น
ด้านอากาศพลศาสตร์ได้รับการออกแบบใหม่หมด ตั้งแต่สเกิร์ตที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์บริเวณด้านหน้า ครีบรีดอากาศบริเวณด้านหน้าซุ้มล้อ และสปอยเลอร์หลังทรงเดียวกับรถแข่ง GT4 ซึ่งช่วยเพิ่มแรงกดและลดแรงต้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ




ภายในห้องโดยสารติดตั้งเบาะแบบ Full Bucket seat จาก RECARO รุ่น Podium CF หุ้มด้วยหนัง Alcantara เสริมด้วยเข็มขัดนิรภัยสีแดง คอนโซลและพวงมาลัยตกแต่งพิเศษ นอกจากนี้ยังมาพร้อมท่อไอเสียไทเทเนียมจาก Akrapovič ที่ให้เสียงคำรามเร้าใจ GR Supra A90 Final Edition จะผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 คันทั่วโลก









ขณะที่ GR Supra Lightweight EVO คันสีแดงที่เห็นอยู่นี้ได้รับการปรับปรุงให้ช่วงล่างตอบสนองไวขึ้น ด้วยโช้คอัพไฟฟ้าปรับจูนใหม่ เหล็กกันโคลงหน้าแบบแข็งแรงพิเศษ จุดยึดซับเฟรมที่แข็งแรงขึ้น และแคมเบอร์ล้อหน้าที่ถูกปรับมุมใหม่ เพื่อการควบคุมที่แม่นยำและลดอาการหน้าดื้อโค้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ






นอกจากนี้ Lightweight EVO ยังมาพร้อมระบบเบรกหน้าขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 374 มม. พร้อมคาลิเปอร์สีแดงโลโก้ GR ด้านแอโรไดนามิกส์มีการปรับปรุงใหม่ด้วยสปอยเลอร์หลังคาร์บอนไฟเบอร์แบบ Duck tail ครีบซุ้มล้อหน้า และแผ่นรีดลมที่ขยายใหญ่ขึ้น ช่วยเพิ่มแรงกดด้านหน้าให้สมดุลกับด้านหลัง ปิดท้ายด้วยล้อแม็กสีดำด้านขนาด 19 นิ้วช่วยเติมเต็มภาพลักษณ์สปอร์ตอย่างชัดเจน




ภายในห้องโดยสารมาพร้อมเบาะสปอร์ตหุ้ม Alcantara® ปักโลโก้ GR ที่พนักพิงศีรษะ คอนโซลและหัวเกียร์ตกแต่งด้วยสีแดงเพื่อเพิ่มอารมณ์การขับขี่
GR Supra Lightweight EVO ใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบแถวเรียง 6 สูบ ตัวเลขแรงม้าและแรงบิดสูงสุดเท่ากับรุ่นปกติ จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ส่งกำลังผ่านล้อคู่หลัง
GR Supra ทั้งสองรุ่นสะท้อนถึงปรัชญาการพัฒนา “รถจากสนามแข่งสู่ท้องถนน” ของ TOYOTA GAZOO Racing ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยปิดตำนานให้กับ A90 ได้อย่างภาคภูมิ
ที่มา: Toyota EU