หลังจาก Audi ประสบความสำเร็จในตลาดรถ SUV ไซส์ Comfact ระดับพรีเมียมมาเป็นเวลากว่า 10 ปี ผ่านรถรุ่น Q3 ที่เดินทางมาถึงรุ่นใหม่เจเนอเรชันที่ 3 จึงได้เปิดตัวทายาทสานต่อเพื่อลงแข่งขันกับ Mercedes-Benz GLA และ BMW X1 โดยมาพร้อมกับการยกระดับคุณสมบัติในทุกด้าน โดยเฉพาะเส้นสายที่ดึงดูดสายตาและอัพเกรดความพรีเมี่ยมไปอีกขั้น ขณะเดียวกันก็ยังได้เพิ่มเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ระบบขับเคลื่อนประสิทธิภาพสูงและความสะดวกสบายที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น

 

Audi Q3 ใหม่โดดเด่นด้วยงานออกแบบที่เริ่มต้นจากกระจังหน้า Singleframe ขนาดใหญ่และไฟหน้าทรงเรียวที่ออกแบบให้สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์ ในรูปแบบเดียวกันกับรถรุ่นพี่ที่เปิดตัวไปก่อนหน้า งานออกแบบด้านท้ายของรถยังมีไฟท้ายแบบ OLED พร้อมแถบไฟ LED และโลโก้ Audi แบบมีแสงสว่างตามสมัยนิยม นับเป็นครั้งแรกในรถกลุ่ม Compact ของ Audi ที่นำเสนอเทคโนโลยีแสงขั้นสูงเช่นนี้

 

ไฮไลท์อยู่ที่ไฟหน้า Matrix LED แบบ Digital ที่ใช้เทคโนโลยี micro-LED ช่วยให้การส่องสว่างยามค่ำคืนปลอดภัยยิ่งขึ้นผ่านความคมชัดสูงกว่ารถในระดับเดียวกัน พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายในทุกสถานการณ์ เพื่อให้สามารถแสดงป้ายเตือนสภาพจราจรบนพื้นถนนตามแต่ละสถานการณ์ต่างๆ

 

ภายในถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด อัพเกรดให้มีความใกล้เคียงกับรถรุ่นที่ใหญ่กว่าอย่าง Q5 โดยเน้นการใช้งานที่สะดวกสบายและตอบโจทย์การรองรับฟังก์ชั่นระดับสูงมากยิ่งขึ้น มาพร้อมแผงควบคุมพวงมาลัยรุ่นใหม่ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของบริเวณคอนโซลกลาง พร้อมก้านควบคุมไฟหน้าและที่ปัดน้ำฝนแยกออกจากกันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกในรถกลุ่มนี้ พร้อมออกชั่นเครื่องเสียงพรีเมี่ยมจาก SONOS

นอกจากนี้ยังมีออฟชั่นกระจกด้านข้างแบบอะคูสติก (acoustic glazing) ที่ถูกนำมาใช้ใน Q3 เป็นครั้งแรก เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก โดยเฉพาะเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง ขณะที่ความจุสัมภาระหลังอยู่ที่ 488 ลิตร และสามารถขยายได้ถึง 1,386 ลิตรเมื่อพับเบาะหลัง พร้อมเบาะนั่งแถวหลังที่ปรับเลื่อนและเอนพนักพิงได้ตามต้องการ เพื่อสามารถเลือกได้ระหว่างพื้นที่วางขาหรือพื้นที่เก็บสัมภาระ

 

Audi Q3 เจเนอเรชันที่สามมาพร้อมกับตัวเลือกขุมพลังที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ดีเซล และระบบ Plug-in hybrid โดยทุกรูปแบบถูกออกแบบให้มีความสมดุลระหว่างสมรรถนะ ความประหยัดเชื้อเพลิงและความยั่งยืน พร้อมรองรับการขับขี่ในทุกไลฟ์สไตล์

  • Q3 TFSI 110 kW รุ่นพื้นฐานของไลน์อัพ Q3 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี Mild-Hybrid และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะแบบ S tronic ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ให้พละกำลังสูง 150 แรงม้า โดยมีจุดเด่นคือระบบ Cylinder on Demand (COD) ซึ่งสามารถตัดการทำงานของกระบอกสูบที่ 2 และ 3 ในสภาวะโหลดต่ำหรือปานกลางเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงได้
  • Q3 TFSI quattro 195 kW รุ่นท๊อปของไลน์อัพที่เน้นด้านสมรรถนะสูงสำหรับผู้ที่ต้องการพละกำลังมากขึ้นที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะแบบ S tronic ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร มอบอัตราเร่งและการควบคุมที่เร้าใจยิ่งขึ้น
  • Q3 TDI 110 kW รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ขับทางไกลเป็นประจำ โดยใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะแบบ S tronic และระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ออกแบบเพื่อให้ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำที่สุดในกลุ่ม
  • Q3 e-hybrid 200 kW รุ่น Plug-in hybrid พร้อมยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะการเดินทางระยะไกลไว้ด้วย ที่ให้พลังรวม 272 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร โดยระบบขับเคลื่อนประกอบด้วย:
    • เครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 116 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตัน-เมตร
    • แบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 25.7 kWh (ความจุสุทธิ 19.7 kWh)

แบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ถึง 119 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากรุ่นก่อนหน้า พร้อมรองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 50 kW โดยสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที

 

ระบบช่วงล่างมาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาใหม่ช่วยให้การขับขี่ที่ราบรื่นและมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถเลือกอัปเกรดเป็นช่วงล่างแบบสปอร์ตหรือแบบควบคุมวาล์วคู่เพื่อความสมดุลระหว่างความนุ่มนวลและความสนุกสนานในการขับขี่

 

อีกหนึ่งไฮไลต์ของระบบช่วยขับคือ adaptive driving assistant plus ที่ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยมีการติดตั้งกล้องภายในห้องโดยสารเพื่อตรวจจับอาการง่วงหรือขาดสมาธิของผู้ขับขี่ อีกทั้งยังมีระบบ “trained parking” ที่ให้ผู้ใช้สามารถสอนระบบให้จอดในพื้นที่ที่กำหนด และฟังก์ชัน “reverse assist” ที่ช่วยถอยออกจากทางตันอย่างแม่นยำ

 

Audi Q3 เจเนอเรชันที่สามจะเริ่มเปิดรับจองในช่วงฤดูร้อนปี 2025 และเริ่มส่งมอบในเดือนตุลาคม โดยรุ่นเริ่มต้น Audi Q3 TFSI 110 kW มีราคาเริ่มต้นที่ 44,600 ยูโร หรือประมาณ 1,676,380 บาท ในเยอรมนี ส่วนรุ่น Q3 e-hybrid 200 kW เริ่มต้นที่ 49,300 ยูโร หรือประมาณ 1,853,039 บาท โดยจะผลิตที่โรงงานใน Gyor ในประเทศฮังการี และ Ingolstadt ประเทศเยอรมนี

ที่มา: Audi