Nissan Motor Co., Ltd. ได้ฤกษ์เปิดตัว LEAF เจเนอเรชันที่ 3 ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากประสบการณ์กว่า 15 ปีในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจับต้องได้ง่าย พร้อมยอดขายสะสมทั่วโลกเกือบ 700,000 คัน รถรุ่นใหม่นี้ไม่เพียงแต่จะพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้ EV โดยเฉพาะ แต่ยังดึงดูดผู้ใช้รถเครื่องยนต์สันดาปให้หันมาใช้รถ EV มากขึ้น 

 

LEAF ใหม่ได้รับการออกแบบภายใต้แนวคิด “Timeless Japanese Futurism” ซึ่งเป็นการนำเสนอเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นร่วมสมัยผ่านเส้นสายเรียบง่ายแต่ทรงพลัง โดยมีลวดลายเรขาคณิตเฉพาะที่เรียกว่า “ni-san” ทั้งภายนอกและภายในรถ ซึ่งลายนี้ประกอบไปด้วยรูปสี่เหลี่ยมแนวตั้งสองช่องและแนวนอนสามช่อง ซึ่งเมื่อนำมาออกเสียงแบบภาษาญี่ปุ่นจะได้คำว่า “นิสสัน” 

 

ด้านรูปลักษณ์ภายนอก LEAF ใหม่มาพร้อมเส้นสายแบบ Fastback มือจับประตูแบบเรียบเนียนไปกับตัวรถ ล้ออัลลอยที่ออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ และพื้นใต้ท้องรถแบบเรียบ ทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานอากาศ (Cd) เพียง 0.26 สำหรับรุ่นที่วางจำหน่ายในอเมริกาและญี่ปุ่น และจะลดลงเหลือ 0.25 สำหรับรุ่นที่วางจำหน่ายในยุโรป ไฟส่องสว่างกลางวันออกแบบใหม่แบบ V-motion โดยด้านหน้าจะมาพร้อม lightbar แบบเต็มความกว้างของฝากระโปรงในบางรุ่นย่อย ส่วนด้านท้ายตกแต่งด้วยไฟท้ายแบบโฮโลกราฟิก 3D 

มิติตัวถังรถ

  • ความยาว 4,350 / 4,360 / 4,405 มิลลิเมตร (EU / JP / US)
  • ความกว้าง 1,810 มิลลิเมตร
  • ความสูง 1,550 / 1,557 มิลลิเมตร (JP & EU / US)
  • ระยะฐานล้อ 2,690 มิลลิเมตร
  • น้ำหนักตัวรถ 1,794 – 1,982 กิโลกรัม
  • ความจุห้องเก็บสัมภาระ 420 / 437 ลิตร (JP & US / EU)

 

ภายในห้องโดยสาร LEAF ใหม่มีพื้นที่กว้างขวางยิ่งขึ้นจากการออกแบบพื้นรถที่เรียบสนิทตามแพลตฟอร์ม CMF-EV แผงคอนโซลหน้าแบบลอยตัวมาพร้อมจอแสดงผลคู่ขนาด 12.3 หรือ 14.3 นิ้ว (แล้วแต่รุ่นย่อย) ในบางรุ่นยังมาพร้อมเครื่องเสียง Bose Personal Plus พร้อมลำโพงติดตั้งบริเวณพนักพิงศีรษะ และหลังคากระจก Panoramic แบบ Dimming ที่สามารถปรับความทึบแสงได้ด้วยเทคโนโลยี PDLC เพื่อให้แสงธรรมชาติส่องเข้าภายในได้อย่างพอดี

 

ด้านสมรรถนะ LEAF ใหม่มาพร้อมขุมพลัง EV แบบ 3-in-1 ที่รวมมอเตอร์ อินเวอร์เตอร์ และเกียร์ลดรอบไว้ในหนึ่งเดียว ขนาดเล็กลงกว่าเดิม 10% พร้อมระบบควบคุมมอเตอร์เฉพาะของนิสสันที่ช่วยให้ขับขี่ได้ราบรื่นและเงียบยิ่งขึ้น พร้อมโครงยึดมอเตอร์ใหม่ที่ลดการสั่นสะเทือนได้ถึง 75% พร้อมช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระ Multi-link ล้ออัลลอยมีให้เลือกทั้งขนาด 18 และ 19 นิ้ว ตามแต่ละรุ่นย่อยและเวอร์ชั่นแต่ละตลาด

นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกแบตเตอรี่ 2 ความจุ ได้แก่

  • 52 kWh ทำงานร่วมกับมอเตอร์เดี่ยวให้พละกำลังสูงสุด 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 345 นิวตัน-เมตร
  • 75 kWh ทำงานร่วมกับมอเตอร์เดี่ยวให้พละกำลังสูงสุด 214 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 355 นิวตัน-เมตร

โดยรุ่นแบตเตอรี่ความจุสูงสามารถวิ่งได้สูงสุดประมาณ 303 ไมล์ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งตามมาตรฐาน EPA ในสหรัฐฯ หรือประมาณ 600 กม. ตามมาตรฐาน WLTC และรองรับการชาร์จเร็ว 10-80% ภายในเวลา 35 นาที

 

LEAF ใหม่ยังมาพร้อมระบบจัดการพลังงานที่พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น เช่น ระบบฟื้นฟูพลังงานความร้อนจากเครื่องชาร์จเพื่ออุ่นแบตเตอรี่ในสภาพอากาศหนาวเย็น ระบบนำทางแบบชาญฉลาดที่เชื่อมกับระบบทำความเย็นแบตเตอรี่ และในบางรุ่นยังมาพร้อมพอร์ตชาร์จมาตรฐาน NACS เพื่อรองรับสถานี Supercharger ของ Tesla ในสหรัฐฯ

ฟีเจอร์อัจฉริยะเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งานจริงมีมาให้ครบ เช่น กล้องมองรอบคันแบบ 3D พร้อมมุมมองฝากระโปรงแบบโปร่งใส (Invisible Hood View) ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า และระบบแผนที่พร้อมแสดงสถานีชาร์จตามเส้นทางแบบเรียลไทม์ ในบางรุ่นยังติดตั้งปลั๊กไฟ 120V ทั้งในห้องโดยสารและห้องเก็บสัมภาระ รวมกำลังไฟได้สูงสุด 1,500 วัตต์ รองรับกิจกรรมกลางแจ้งได้อย่างดี

สำหรับการเชื่อมต่อกับระบบพลังงานภายนอก LEAF ใหม่รองรับระบบ V2L (Vehicle-to-Load) เพื่อจ่ายไฟให้อุปกรณ์ไฟฟ้า นอกจากนี้รุ่นที่จำหน่ายในญี่ปุ่นยังสามารถใช้งานระบบ V2H (Vehicle-to-Home) เพื่อจ่ายไฟกลับเข้าบ้านได้ และรุ่นที่จำหน่ายในยุโรปเตรียมรองรับระบบ V2G (Vehicle-to-Grid) เพื่อจ่ายไฟกลับเข้าสู่โครงข่ายไฟฟ้าในอนาคต

Nissan LEAF เจเนอเรชันที่ 3 จะผลิตที่โรงงานโทจิกิ ประเทศญี่ปุ่นและโรงงานซันเดอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ โดยจะเริ่มวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ก่อนขยายสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

ที่มา: Nissan