ตลาดรถยนต์พลังงานทางเลือกใหม่ New Energy Vehicles (NEVs) ในประเทศจีนที่ประกอบไปด้วยรถ EV PHEV และ EREV ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนพฤษภาคม 2025 รถกลุ่มนี้มียอดขายสูงถึงจำนวน 1.021 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 28.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2025


เมื่ออ้างอิงรายงานของสมาคมผู้ค้ารถยนต์จีน (CADA) ส่งผลให้ยอดขายสะสมตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงพฤษภาคมอยู่ที่ 4.351 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 34.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2024
ยอดขายของรถยนต์กลุ่ม NEVs ตลอดเดือนพฤษภาคมแบ่งออกเป็น:
- BEV (รถยนต์ขุมพลังไฟฟ้าล้วน): 607,000 คัน
- PHEV (Plug-in hybrid): 298,000 คัน
- EREV (รถ EV ที่ติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปสำหรับการปั่นไฟ): 116,000 คัน



Geely Geome Xingyuan คว้าอันดับ 1 ในชาร์ตรถยนต์กลุ่ม NEVs ในฐานะรุ่นที่ขายดีที่สุดในเดือนพฤษภาคม ด้วยยอดขาย 38,715 คัน และยังครองแชมป์ยอดขายสะสมสูงสุดตั้งแต่ต้นปี 2025 ที่ 164,049 คัน นับว่าเป็นรถรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2024 เพียงแค่ 8 เดือนก็สามารถผลิตคันที่ 200,000 ได้สำเร็จ โดยทาง Geely ระบุว่าสามารถขายได้เฉลี่ย 905 คันต่อวัน หรือ 1 คันในทุกๆ 97 วินาที
อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่ด้านรถยนต์กลุ่ม NEVs อย่าง BYD มีรถรุ่นที่ติดอันดับขายดีถึง 9 รุ่น ใน 20 อันดับแรก โดยยอดขายรวมของทั้ง 9 รุ่นในเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ประมาณ 181,000 คัน ซึ่งประกอบด้วยรุ่นยอดนิยมหลายรุ่น โดยมี Seagull คว้าอันดับ 2 ด้วยยอดขาย 31,105 คัน ตีคู่กันกับ Qin Plus อันดับที่ 3 ด้วยยอดขาย 29,328 คัน

สำหรับอีกแบรนด์ที่จะไม่เอ่อยถึงไปไม่ได้ ได้แก่ Wuling ที่นำทัพโดย Hongguang Mini EV จนสามารถยืนอันดับที่ 4 ได้อย่างไม่อายใครด้วยยอดขายเดือนพฤษภาคม 29,017 คัน พร้อมยอดขายสะสมจำนวน 144,953 คัน
ขณะที่รถพรีเมี่ยมอย่าง Xiaomi SU7 รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกจากแบรนด์ที่เน้นขายแต่ Gadget มาโดยตลอดก็สามารถสร้างยอดขายในเดือนพฤษภาคม 28,013 คัน รั้งอันดับ 5 ด้วยยอดสะสมกว่า 132,467 คัน
ฝั่ง Tesla ก็ยังสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดไว้ได้ โดย Model Y ที่ขายได้ 24,770 คัน ในเดือนพฤษภาคม และมียอดขายสะสมรวมถึง 126,643 คัน ขณะที่ Model 3 ก็มียอดขาย 13,818 คัน ติดอันดับที่ 16 ในตารางดังกล่าว


ตลาดรถยนต์กลุ่ม NEVs ของจีนยังคงร้อนแรงและมีการแข่งขันที่เข้มข้น โดยเฉพาะในกลุ่มรถไฟฟ้าขนาดเล็กถึงกลาง วางจำหน่ายด้วยราคาจับที่ต้องได้ และเน้นเทคโนโลยีล้ำสมัย จากแนวโน้มนี้ เป็นไปได้ว่าแบรนด์จีนจะยิ่งขยายอิทธิพลทั้งในและนอกประเทศมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เป็นต้นไป
ที่มา: Carnewschina