ภายหลังจากที่ Ferrari Roma ปิดสายการผลิตไปอย่างเงียบๆ เมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา ล่าสุด Ferrari ได้เปิดตัวผู้สืบทอดรถสปอร์ตรุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ Ferrari Amalfi ที่ยังคงรูปลักษณ์ในสไตล์ Grand Tourer มาพร้อมความหรูหรา แต่เสริมความทันสมัยทั้งด้านดีไซน์ พละกำลังและเทคโนโลยีภายในตัวรถรอบด้าน
แม้ Ferrari ไม่อาจเรียก Amalfi ว่า “รุ่นใหม่หมดจด” หรือ “All-new” ได้ แต่ก็นับว่าเป็นการปรับโฉมครั้งใหญ่ของ Roma ที่เสริมพละกำลัง เสริมความหรูหราและยกระดับประสบการณ์ของผู้ขับขี่ในทุกรายละเอียด




โดย Ferrari ได้ออกแบบด้านหน้าใหม่ทั้งหมด โดยได้ถอดกระจังหน้าทรงดั้งเดิมและเปลี่ยนเป็นช่องรับอากาศขนาดใหญ่และแถบสีดำที่เชื่อมต่อไฟหน้าเข้าด้วยกัน เสริมความสปอร์ตด้วยสเกิร์ตใหม่และเซ็นเซอร์ที่ติดตั้งซ่อนรูปได้อย่างเรียบร้อย
งานออกแบบด้านข้างยังคงไว้ซึ่งเส้นสานคล้ายเดิม พร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว รัดด้วยยาง Bridgestone Potenza Sport หรือ Pirelli P Zero ให้เลือก ส่วนด้านหลังมีการปรับตำแหน่งป้ายทะเบียนย้ายไปอยู่ใกล้กับแผ่นดิฟฟิวเซอร์ รวมไปถึงการออกแบบกันชนใหม่ พร้อมไฟท้ายทรงใหม่ที่โค้งมนยิ่งขึ้น




อีกหนึ่งจุดที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุดคือภายในห้องโดยสาร ที่ Ferrari ออกแบบใหม่ทั้งหมด โดยตัดโครงสร้างแบบแยกคนขับและผู้โดยสารที่เคยมีใน Roma ออกไป และเปลี่ยนมาใช้ดีไซน์คอนโซลกลางแบบแบนราบเพื่อความเรียบง่าย
Amalfi มาพร้อมหน้าจอกลางแบบแนวนอนขนาด 10.25 นิ้ว ที่รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay เต็มระบบ นอกจากนี้ยังมีหน้าจอสำหรับผู้ขับขี่ขนาด 15.6 นิ้ว และหน้าจอสำหรับผู้โดยสารด้านหน้าขนาด 8.8 นิ้ว ที่สามารถแสดงข้อมูลเครื่องยนต์และแรง G ได้




พวงมาลัยรุ่นใหม่ออกแบบตามหลักสรีระศาสตร์ ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์แบบอะลูมิเนียม สไตล์คลาสสิกของ Ferrari นอกจากนี้คอนโซลกลางยังผลิตจากอะลูมิเนียมชิ้นเดียวแบบ anodized พร้อมแผงคอนโซลเกียร์แบบ gated slot แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย ส่วนวัสดุภายในยังคงเน้นความพรีเมียมด้วยคาร์บอนไฟเบอร์และหนังชั้นดี
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมเบาะนั่งแบบ Comfort Seat ที่มีให้เลือก 3 ขนาด พร้อมระบบนวดด้วยถุงลม 10 จุด และฟังก์ชันระบายอากาศ ขณะที่ระบบเสียงสามารถอัปเกรดเป็น ชุดลำโพง Burmester 14 ตัว กำลังขับรวม 1,200 วัตต์




หัวใจสำคัญของ Ferrari Amalfi ได้แก่เครื่องยนต์เบนซิน V8 ความจุ 3.9 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบคู่ ที่ได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ ทำให้สามารถมีกำลังสูงสุดถึง 640 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 760 นิวตัน-เมตร ซึ่งมากกว่า Roma อยู่ 20 แรงม้า
ด้วยการอัพเกรดขุมพลังใหม่นี้ ทำให้ Amalfi สามารถเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 3.3 วินาที เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อย โดยยังคงทำความเร็วสูงสุดได้ 320 กม./ชม. เท่าเดิม
เครื่องยนต์รุ่นใหม่มาพร้อมกับเทอร์โบชาร์จเจอร์ใหม่ เซนเซอร์วัดแรงดันแยกแต่ละฝั่งของเครื่องยนต์ กล่อง ECU รุ่นใหม่ และเพลาลูกเบี้ยวแบบน้ำหนักเบา โดยมีการเพิ่ม redline ไปที่ 7,600 รอบ/นาที เพื่อขยายช่วงการทำงานให้ดุดันยิ่งขึ้น
ระบบส่งกำลังยังคงเป็นเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 8 จังหวะแบบเปียก ที่ได้รับการอัปเกรดทั้งกล่องควบคุม และการทำงานร่วมกับเครื่องยนต์ เพื่อให้เปลี่ยนเกียร์นุ่มนวลและรวดเร็วกว่าเ



Ferrari Amalfi ยังมาพร้อมเทคโนโลยีช่วยขับขี่แบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น:
- Adaptive Cruise Control
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB)
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อออกนอกเลน (LDW / LKA)
- Blind Spot Detection
- Rear Cross Traffic Alert
- Traffic Sign Recognition
- กล้องรอบคัน 360 องศา
ระบบพวงมาลัยไฟฟ้ารุ่นใหม่ ยังมีฟังก์ชันตรวจสอบการยึดเกาะถนนที่แม่นยำยิ่งขึ้น ทำงานเร็วขึ้น 10% แม้บนพื้นผิวที่ลื่น ขณะที่ระบบเบรกแบบ brake-by-wire ได้รับการติดตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเบรก ลดระยะเหยียบแป้นและปรับแรงเบรกได้อย่างนุ่มนวลยิ่งขึ้น พร้อมระบบ ABS Evo ที่ทำงานร่วมกับ Manettino ได้อย่างชาญฉลาด




Ferrari Amalfi ถือเป็นการต่อยอดจาก Roma ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง ด้วยดีไซน์ที่คมขึ้น ภายในที่ทันสมัย พละกำลังเพิ่มขึ้น และระบบขับขี่ที่ล้ำหน้าทั้งทางเทคโนโลยีและอารมณ์สปอร์ต โดยยังคงคอนเซ็ปต์ “GT หรูที่ขับได้ทุกวัน” ไว้อย่างครบถ้วน
ที่มา: Carscoops