หลังจากที่ Jeep ได้เผยภาพของ Cherokee รุ่นใหม่ปี 2026 ออกมายั่วกิเลสแฟนๆ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2025 ก็ถึงเวลาที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และการกลับมาทำตลาดอีกครั้งในตลาดสหรัฐฯ ของชื่อ Cherokee ก็มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ผสมผสานความหรูหรา ความกว้างขวาง และความสามารถในการประหยัดเชื้อเพลิงจากระบบขับเคลื่อน Hybrid เป็นครั้งแรกในสายพานการผลิตของ Jeep ในอเมริกา โดยครั้งนี้ Cherokee ได้รับการพัฒนาใหม่หมดทั้งในด้านขนาด มิติ การออกแบบ และเทคโนโลยี

 

ภายนอกของรถรุ่นใหม่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายความแข็งแกร่งในสไตล์ Jeep แต่ได้เพิ่มความทันสมัยด้วยกระจังหน้าทรงเพรียวบาง ไฟหน้าเหลี่ยมที่ชวนให้นึกถึง Cherokee XJ รุ่นคลาสสิก เสริมด้วยบังโคลนและเส้นสายตัวถังที่มีเหลี่ยมมุมชัดเจน นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับมือจับประตูแบบเรียบเนียนไปกับตัวถัง ล้ออัลลอยขนาดตั้งแต่ 17–20 นิ้ว และด้านท้ายที่ออกแบบยกสูงพร้อมไฟท้ายทรงเหลี่ยมที่ได้แรงบันดาลใจจากแกลลอนน้ำมันเชื้อเพลิงทรง Jerry Can

 

ตัวรถรถมีความยาว 4,778 มม. กว้าง 2,123 มม. สูง 1,715 มม. และฐานล้อ 2,870 มม. ซึ่งยาวขึ้น 119 มม. กว้างขึ้น 25 มม. และสูงขึ้น 50 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม ส่งผลให้ห้องโดยสารโปร่งโล่งและกว้างขวางขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าเบาะหลังจะมีพื้นที่วางขาลดลงเล็กน้อย แต่ก็แลกมากับพื้นที่บรรทุกสัมภาระที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% หรือสูงสุดถึง 1,934 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังลง

 

ห้องโดยสารออกแบบใหม่ให้ความรู้สึกหรูหราใกล้เคียงกับรุ่นพี่อย่าง Wagoneer S โดยติดตั้งพวงมาลัยทรงเหลี่ยม มาตรวัด Full Digital ขนาด 10.25 นิ้ว จอ Infotainment ระบบปฏิบัติการ Uconnect 5 ขนาด 12.3 นิ้วที่รองรับทั้งการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย ระบบ Connect One ที่มีบริการ update แบบ OTA และบริการระบบความปลอดภัยฉุกเฉินอีก 10 ปีเต็ม ภายในตกแต่งด้วยวัสดุรีไซเคิลหลายจุด โดยเฉพาะเบาะนั่งที่หุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ Capri Vinyl เพื่อลดการใช้หนังสัตว์ แต่ยังคงไว้ซึ่งความพรีเมียม

 

ขุมพลังที่ถือเป็นไฮไลท์ คือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.6 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ จับคู่ระบบ Hybrid ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าคู่และเกียร์ E-CVT พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนความจุ 1.08 kWh ให้กำลังรวม 213 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 312 นิวตัน-เมตร มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นย่อยตามแบบฉบับ Jeep พร้อมระบบตัดการทำงานเพลาหลังเพื่อประหยัดน้ำมัน อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยรวมอยู๋ที่ 37 ไมล์/แกลลอน (ประมาณ 15.7 กม./ลิตร)

 

แม้กำลังจะด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Toyota RAV4 Hybrid (236 แรงม้า) หรือ Hyundai Tucson Hybrid (231 แรงม้า) แต่ Jeep ยืนยันว่าการตอบสนองแรงบิดของเครื่องใหม่ทำได้ไวและต่อเนื่องมากขึ้น รถยังสามารถลากจูงได้ 1,587 กก. มีมุมไต่ มุมจากและมุมคร่อมที่ดีที่สุดในคลาส พร้อมระยะความสูงใต้ท้อง 203 มม. รองรับการลุยเส้นทางวิบากระดับหนึ่ง และในอนาคตจะมีรุ่น Trailhawk ที่พร้อมลุยเต็มสมรรถนะ

 

ด้านระบบความปลอดภัยและผู้ช่วยการขับขี่มีมาให้อย่างครบครัน อาทิ Adaptive Cruise Control พร้อม Lane Centering Intersection Collision Assist Blind Spot Monitoring Rear Cross Path Detection ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติและกล้องมองรอบคัน 360°

 

Jeep Cherokee มีราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 36,995 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.3 ล้านบาท) ซึ่งแพงกว่าคู่แข่งหลักอย่าง Hyundai Tucson Hybrid และ Kia Sportage Hybrid เล็กน้อย จะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปี 2025 โดยรุ่น Limited และ Overland จะออกมาก่อน ส่วนรุ่นเริ่มต้นอย่าง Cherokee และ Laredo จะตามมาในต้นปี 2026 โดยทั้งหมดจะผลิตที่โรงงาน Toluca ประเทศเม็กซิโก

ที่มา: Carscoops