เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2025 Audi ได้กระตุ้นตลาด Premium Compact SUV รุ่นเริ่มต้นของค่ายอีกครั้ง ด้วยการต่อยอดความสำเร็จหลังจากการเปิดตัว Audi Q3 เจเนอเรชันที่ 3 ไปไม่นาน ล่าสุด Audi ได้เสริมทัพด้วยรุ่น Q3 Sportback ครอสโอเวอร์คูเป้รุ่นเล็ก ที่เข้ามาเติมเต็มไลน์ Sportback ต่อจาก Q4 e-tron Q5 Q6 e-tron และ Q8 e-tron
Q3 Sportback ใช้โครงสร้างร่วมกับ Q3 แทบทั้งหมด แต่แตกต่างด้วยเส้นสายหลังคาที่ลาดลง กระจกบานท้ายทรงโค้งและไม่มีราวหลังคาเพื่อความสปอร์ตยิ่งขึ้น ด้านหลังมาพร้อมไฟท้ายแบบเต็มความกว้างที่เลือกออปชันเป็น OLED ได้ กันชนทรงสปอร์ตพร้อมช่องลมหลอกและดิฟฟิวเซอร์ขนาดใหญ่ โดยรวมแล้วรถสั้นกว่า Q3 ปกติ 29 มม.
ภายในยังใช้แดชบอร์ดเดียวกับ Q3 รุ่นปกติ มาพร้อมจอเรือนไมล์ Full Digital 11.9 นิ้ว และจอกลาง Infotainment 12.8 นิ้ว แต่ด้วยแนวหลังคาที่เตี้ยลง ส่งผลต่อพื้นที่ศีรษะผู้โดยสารตอนหลังและพื้นที่เก็บสัมภาระ พร้อมก้านควบคุมไฟหน้าและที่ปัดน้ำฝนแยกออกจากกันอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกในรถกลุ่มนี้ พร้อมออกชั่นเครื่องเสียงพรีเมี่ยมจาก SONOS
ความจุห้องเก็บของสูงสุดของ Q3 Sportback อยู่ที่ 1,298 ลิตร (เมื่อพับเบาะหลัง) น้อยกว่า Q3 ปกติ 97 ลิตร แต่ Audi ยังไม่เปิดเผยความจุเมื่อใช้เบาะครบ 5 ที่นั่งว่าลดลงจาก 488 ลิตรหรือไม่
Audi Q3 Sportback มาพร้อมกับตัวเลือกขุมพลังที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ดีเซล และระบบ Plug-in hybrid โดยทุกรูปแบบถูกออกแบบให้มีความสมดุลระหว่างสมรรถนะ ความประหยัดเชื้อเพลิงและความยั่งยืน พร้อมรองรับการขับขี่ในทุกไลฟ์สไตล์
- Q3 Sportback TFSI 110 kW รุ่นพื้นฐานของไลน์อัพ Q3 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี Mild-Hybrid และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะแบบ S tronic ส่งกำลังสู่ล้อคู่หน้า ให้พละกำลังสูง 150 แรงม้า โดยมีจุดเด่นคือระบบ Cylinder on Demand (COD) ซึ่งสามารถตัดการทำงานของกระบอกสูบที่ 2 และ 3 ในสภาวะโหลดต่ำหรือปานกลางเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิงได้
- Q3 Sportback TFSI quattro 195 kW รุ่นท๊อปของไลน์อัพที่เน้นด้านสมรรถนะสูงสำหรับผู้ที่ต้องการพละกำลังมากขึ้นที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro และเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะแบบ S tronic ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร มอบอัตราเร่งและการควบคุมที่เร้าใจยิ่งขึ้น
- Q3 Sportback TDI 110 kW รุ่นเครื่องยนต์ดีเซลที่ยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ขับทางไกลเป็นประจำ โดยใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิด 360 นิวตัน-เมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะแบบ S tronic และระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ออกแบบเพื่อให้ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำที่สุดในกลุ่ม
- Q3 Sportback e-hybrid 200 kW รุ่น Plug-in hybrid พร้อมยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะการเดินทางระยะไกลไว้ด้วย ที่ให้พลังรวม 272 แรงม้า และแรงบิด 400 นิวตัน-เมตร โดยระบบขับเคลื่อนประกอบด้วย:
- เครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 116 แรงม้า แรงบิด 330 นิวตัน-เมตร
- แบตเตอรี่แรงดันสูงความจุ 25.7 kWh (ความจุสุทธิ 19.7 kWh)
แบตเตอรี่รุ่นใหม่นี้สามารถวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ถึง 119 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP เพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าจากรุ่นก่อนหน้า พร้อมรองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 50 kW โดยสามารถชาร์จจาก 10% ถึง 80% ได้ภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที
ระบบช่วงล่างมาตรฐานที่ได้รับการพัฒนาใหม่ช่วยให้การขับขี่ที่ราบรื่นและมั่นใจมากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าสามารถเลือกอัปเกรดเป็นช่วงล่างแบบสปอร์ตหรือแบบควบคุมวาล์วคู่เพื่อความสมดุลระหว่างความนุ่มนวลและความสนุกสนานในการขับขี่
อีกหนึ่งไฮไลต์ของระบบช่วยขับคือ adaptive driving assistant plus ที่ช่วยให้การขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยมีการติดตั้งกล้องภายในห้องโดยสารเพื่อตรวจจับอาการง่วงหรือขาดสมาธิของผู้ขับขี่ อีกทั้งยังมีระบบ “trained parking” ที่ให้ผู้ใช้สามารถสอนระบบให้จอดในพื้นที่ที่กำหนด และฟังก์ชัน “reverse assist” ที่ช่วยถอยออกจากทางตันอย่างแม่นยำ
กำหนดการวางจำหน่ายที่ประเทศเยอรมนีโดย Q3 เริ่มต้นที่ 44,600 ยูโร (ประมาณ 1.73 ล้านบาท) และ Q3 Sportback เริ่มที่ 46,450 ยูโร (ประมาณ 1.79 ล้านบาท) รุ่น Plug-in hybrid เริ่มต้นที่ 49,300 ยูโร (ประมาณ 1.91 ล้านบาท) และ 51,150 ยูโร (ประมาณ 1.98 ล้านบาท) ตามลำดับ
Audi เปิดรับจองทั้ง Q3 และ Q3 Sportback แล้วในยุโรป โดย Q3 จะเริ่มส่งมอบเดือนตุลาคมและ Q3 Sportback จะตามมาในเดือนพฤศจิกายน 2025 ส่วนตลาดสหรัฐฯ ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าจะวางขายหรือไม่ เช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้าที่ไม่ถูกนำเข้าไปขาย
ที่มา: Carscoops
