เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2025 BMW เปิดตัว iX3 รุ่นที่สองอย่างเป็นทางการ ถือเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ใช้ Neue Klasse Platform งานวิศวกรรมพื้นฐานเฉพาะรถไฟฟ้า และระบบประมวลผลอัจฉริยะ 4 หน่วย หรือที่ BMW เรียกว่า “superbrains” โดยได้ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นพื้นฐานของรถ BMW เจเนอเรชันใหม่ทั้งหมดในอนาคต ทั้งในกลุ่มซีดานและ SUV จุดเด่นของ iX3 ใหม่ ไม่เพียงแค่การเป็น รถยนต์ไฟฟ้า เท่านั้น แต่ยังสะท้อนการเปลี่ยนผ่านของแบรนด์สู่ ยุคซอฟต์แวร์ กำลังขับเคลื่อน และดีไซน์ใหม่ ที่ชัดเจนกว่าเดิม
ดีไซน์ภายนอก ได้รับแรงบันดาลใจจากรถต้นแบบ Vision Neue Klasse X concept ปี 2024 และรถสองประตูคลาสสิกของ BMW อย่างซีรีส์ 2002 โดยมีจุดเด่นคือกระจังไตคู่แนวตั้ง ไฟหน้าคู่ดีไซน์ใหม่ เส้นสายตัวถังเหลี่ยมคม และค่าความต้านอากาศเพียง 0.24 Cd ซึ่งดีกว่ารุ่นเดิมอย่างชัดเจน ด้านข้างยังคงเอกลักษณ์ Hofmeister kink แต่เส้นสายเน้นความเฉียบคมและความสปอร์ต ส่วนด้านท้ายมาพร้อมไฟท้ายแนวนอนดีไซน์ใหม่ พร้อมสปอยเลอร์หลังคาที่ช่วยเพิ่มอากาศพลศาสตร์ สำหรับผู้ที่ต้องการความสปอร์ตยิ่งขึ้น ยังมีแพ็กเกจ M Sport และ M Sport Professional ล้ออัลลอยขนาดใหญ่ 20–22 นิ้ว และคาลิเปอร์เบรกสีสันเฉพาะ
มิติตัวรถ
- ความยาว 4,782 มิลลิเมตร
- ความกว้าง 1,895 มิลลิเมตร
- ความสูง 1,636 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ 2,899 มิลลิเมตร
- ระยะต่ำสุดใต้พื้น 175 มิลลิเมตร
- รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 6 เมตร
ห้องโดยสารใช้จอ Panoramic iDrive แบบ pillar-to-pillar ติดตั้งบริเวณฐานกระจกบังลมหน้า ทำงานร่วมกับจอกลางขนาด 17.9 นิ้ว และ Head-Up Display 3 มิติ ระบบปฏิบัติการใหม่ “BMW Operating System X” เน้นความเรียบง่าย ใช้งานตรงไปตรงมา
BMW ยังคงเก็บปุ่มฟังก์ชันพื้นฐาน เช่น ไฟเลี้ยว ที่ปัดน้ำฝน และเบรกมือ เพื่อความสะดวกในการใช้งานจริง แต่ระบบปรับอากาศและฟังก์ชันส่วนใหญ่ถูกรวมเข้ากับหน้าจอเพื่อเน้นความล้ำสมัย นอกจากนี้ ยังมีอุปกรณ์เสริมเพิ่มความหรูหรา เช่น ระบบเครื่องเสียง Harman Kardon 13 ลำโพง หลังคา Panoramic roof ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 3 โซน ระบบเสียงจำลองใหม่ BMW HypersonX Soundscape ที่ออกแบบมาเพื่อสร้างอารมณ์ขณะขับขี่ เบาะนั่ง 5 ที่นั่งมีพื้นที่กว้างขวาง พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 861 ลิตร ขยายได้สูงสุด 1,841 ลิตรเมื่อพับเบาะหลัง
iX3 ใหม่มาพร้อมกับคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง 4 ชุด ที่ BMW เรียกว่า “Superbrains” ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระบบหลักทั้งหมด ได้แก่ ระบบขับเคลื่อนและไดนามิกส์ (Heart of Joy) ระบบขับขี่กึ่งอัตโนมัติและช่วยจอด ระบบความบันเทิงและการเชื่อมต่อ ระบบพื้นฐานของรถ นอกจากนี้ยังรองรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่าน Over-the-Air (OTA) ทำให้รถสามารถพัฒนาและเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ได้
ระบบความปลอดภัยและช่วยขับขั้นสูง (ADAS) ครบครัน เช่น Highway Assistant ที่อนุญาตให้ขับแบบไม่ต้องจับพวงมาลัยในบางสถานการณ์ และระบบ BMW Symbiotic Drive ที่ผสมผสานการควบคุมของคนขับเข้ากับการทำงานอัตโนมัติได้อย่างราบรื่น
รุ่นแรกที่จะวางจำหน่ายคือ iX3 50 xDrive มาพร้อมมอเตอร์คู่ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ กำลังสูงสุดรวม 463 แรงม้า แรงบิดสูงสุดรวม 690 นิวตัน-เมตร และ ระยะทางวิ่งไกลถึง 400 ไมล์ หรือ 644 กิโลเมตร (ตามมาตรฐาน EPA) ทำอัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 4.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 209 กม./ชม. และตั้งราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.1 ล้านบาท) กำหนดขายในสหรัฐฯ ช่วงกลางปี 2026
สมรรถนะและการชาร์จไฟ มาพร้อมสถาปัตยกรรม 800 V และแบตเตอรี่เซลล์รูปทรงกระบอกเจนเนอเรชัน 6 ของ BMW รองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 400 kW DC เติมพลังงานได้ 370 กม. ใน 10 นาที หรือ 10-80% ใน 21 นาที รองรับการชาร์จสองทิศทาง (bi-directional charging) และใช้พอร์ต NACS พร้อมอะแดปเตอร์ CCS
BMW ยืนยันว่า iX3 จะเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังมีรุ่นขับหลังมอเตอร์เดี่ยว และรุ่นสมรรถนะสูงจาก BMW M กำลังตามมา ต่อสู้ในตลาด SUV ไฟฟ้าพรีเมียมกับ Audi Q6 e-tron, Porsche Macan EV, Mercedes GLC EV และ Volvo EX60 โดยจะเริ่มผลิตที่โรงงานใหม่ในเดเบรเซน ประเทศฮังการี ไตรมาสแรกปี 2026
แม้ iX3 จะเป็นรถรุ่นแรกที่เปิดทางให้กับ Neue Klasse แต่ BMW มีแผนจะเปิดตัวรถใหม่และปรับโฉมรวมกว่า 40 รุ่นภายในปี 2027 โดยรุ่นถัดไปคือ ซีดาน 4 ประตู ที่จะเป็นคู่ขนานกับ BMW 3-Series ในเวอร์ชันไฟฟ้า Oliver Zipse CEO ของ BMW ยืนยันว่า แพลตฟอร์มนี้คือ “ก้าวกระโดดครั้งใหญ่” ในด้านดีไซน์ เทคโนโลยี และประสบการณ์การขับขี่ ทำให้ iX3 ไม่ใช่แค่ SUV ไฟฟ้า แต่คือ จุดเริ่มต้นของอนาคต BMW ทั้งหมด
ที่มา: Carscoops
