กว่า 28 ปีภายหลังจากที่ Ferrari ได้หยุดสายพานการผลิต Testarossa รุ่นสุดท้ายในปี 1996 ชื่อเสียงของฉายา “Red Head” ได้หวนคืนสู่วงการยานยนต์อีกครั้งในรูปแบบที่ทันสมัยและทรงพลังที่สุด ในนาม Ferrari 849 Testarossa เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 นับว่าเป็นรถซูเปอร์คาร์ Plug-in hybrid รุ่นใหม่ที่จะเข้ามาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก SF90 Stradale และ SF90 Spider โดยมีกำหนดวางตลาดทั้งแบบตัวถังคูเป้และเปิดประทุนในปี 2026
แม้ชื่อ Testarossa จะสร้างความทรงจำถึงเส้นสันข้างตัวถังขนาดใหญ่ในยุค 80s พร้อมความเหลี่ยมสันเต็มพิกัด แต่ 849 Testarossa กลับไม่ได้หยิบยกแนวทางการออกแบบนั้นมาซะทีเดียว โดยทีมออกแบบของ Flavio Manzoni ได้สร้างรูปลักษณ์ใหม่ที่ผสมผสานแรงบันดาลใจจากรถแข่งยุค 70s และงานออกแบบจากอากาศยาน
ด้านหน้าได้แรงบันดาลใจจาก Ferrari ยุค 80s มีเส้นแนวนอนเชื่อมไฟหน้าเป็นสะพาน สัดส่วนตัวถังแบบ Cab-Forward และดีไซน์ Double-Tail ได้อิทธิพลจาก Ferrari 512 S โดดเด่นด้วยช่องดักลมขนาดใหญ่ถูกผสานเข้ากับแผงประตูอย่างเนียนตา ภาพรวมให้ความรู้สึกใกล้เคียง SF90 และ Daytona SP3 แต่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น
Ferrari เปิดตัวเฉดสีใหม่พร้อมกับ 849 Testarossa ได้แก่ สีแดงเบอร์ใหม่ Rosso Fiammante ที่พัฒนาจากสี Rosso Corsa แบบด้าน เติมประกายเมทัลลิกให้โดดเด่นยิ่งขึ้น สีเหลือง Giallo Ambra ที่ได้แรงบันดาลใจจากความเงางามของอำพันธรรมชาติ
ภายในยังมีวัสดุ Alcantara สี Giallo Siena ที่ออกแบบมาให้เข้ากับ Giallo Ambra นอกจากนี้ยังมีล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่และออปชันตกแต่งเฉพาะสำหรับลูกค้าที่สั่งพิเศษ
สำหรับผู้ที่ต้องการสมรรถนะสูงสุด Ferrari มีรุ่น 849 Testarossa Assetto Fiorano ที่ลดน้ำหนักลง 30 กก. ด้วยวัสดุไทเทเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์ เพิ่มปีกคู่ด้านหลังที่สร้างแรงกดสูงกว่ารุ่นมาตรฐานถึง 3 เท่า พร้อมโช้ค Multimatic แบบฟิกซ์ โดยลูกค้ายังสามารถสั่งยาง Michelin Cup R2 และลวดลายตัวถังพิเศษสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ
หัวใจของ 849 Testarossa คือ เครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 ทำมุม 90 องศา ขนาด 4.0 ลิตร 3,990 ซีซี. พ่วงระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 กำลังสูงสุด 819 แรงม้า ที่ 7,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 800 นิวตันเมตร ที่ 6,000 รอบ/นาที ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้า 2 ตัว และ ด้านหลังอีก 1 ตัว รวมทั้งหมด 3 ตัว
เครื่องยนต์ตัวนี้ได้รับการออกแบบฝาสูบ ท่อร่วมไอเสีย และเทอร์โบใหม่ทั้งหมด โดยเทอร์โบที่ใช้ถือว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยติดตั้งในรถโปรดักชันคาร์
เมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว ทำให้พละกำลังสูงสุดรวมทั้งระบบอยู่ที่ 1,035 แรงม้า จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ DCT 8 จังหวะ แบตเตอรี่ lithium-ion ขนาด 7.45 kWh ส่งกำลังผ่านระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เสียบปลั๊กชาร์จไฟ Plug-in Hybrid ช่วยให้วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ราว 25 กม. โดยในโหมด EV จะขับเคลื่อนด้วยล้อหน้าเพียงอย่างเดียว และทำความเร็วสูงสุดได้ 130 กม./ชม.
แม้ SF90 จะเป็นหนึ่งในซูเปอร์คาร์ที่แรงที่สุด แต่ Ferrari ยืนยันว่า 849 Testarossa ทำเวลาได้ดีกว่า โดยตัวเลขที่สมรรถนะอย่างเป็นทางการมีดังนี้:
- อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายในเวลา 2.2 วินาที
- อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ภายในเวลา 6.3 วินาที
- ความเร็วสูงสุดเกิน 330 กม./ชม.
ขณะที่ตัวถังแบบเปินประทุน Spider จะช้ากว่าเล็กน้อยจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงแรงสะใจตามแบบฉบับ Ferrari
แม้ Ferrari จะยังไม่ประกาศราคาอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าจะสูงกว่า SF90 Stradale ที่เริ่มต้นราว 470,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 17 ล้านบาท) และจะพร้อมส่งมอบในปี 2026 เป็นต้นไปทั้งเวอร์ชัน Coupe และ Spider
ที่มา: Carscoops
