Toyota ถือเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่คนไทยมากว่า 60 ปี นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นจากการเป็นบริษัทประกอบรถยนต์ที่นำเข้าชิ้นส่วนจากญี่ปุ่น ผ่านมรสุมวิกฤติเศรษฐกิจมาหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย Toyota เรียกความน่าเชื่อถือจากลูกค้าชาวไทยด้วยความมุ่งมั่นผลิตสินค้าที่ดีที่สุด มีโรงงานผลิตรถยนต์ในไทยและเป็นแบรนด์ที่ผลิตรถยนต์คันแรกที่ออกแบบ พัฒนา และสร้างขึ้นในประเทศไทยทั้งคันได้สำเร็จ ต่อยอดมาจนกลายเป็นแบรนด์ยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นผู้ส่งออกรถยนต์จากประเทศไทยที่เยอะที่สุดอีกด้วย
สำหรับคลิปวิดีโอความยาว 60 วินาทีของ Toyota ประเทศญี่ปุ่น ที่ปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2025 ที่อัดแน่นไปด้วยรถคันจริงจากผู้ใช้งานจริงจากทั่วทุกมุมโลก ได้ปรากฎรถยนต์ Toyota จากประเทศไทยให้เห็นจำนวนทั้งสิ้นถึง 6 รุ่น 10 คันด้วยกัน โดยประกอบไปด้วยรุ่นทั้งหมด ดังนี้
1. HILUX จำนวน 3 คัน :
- Mighty-X เวลา 0.14 และ 0.39 วินาที
Hilux Mighty-X (ผลิตตั้งแต่ปี 1990 – 1998) คือกระบะสายพันธุ์แกร่งที่ครองใจคนไทยในยุค 90s อย่างแท้จริง ด้วยดีไซน์เรียบง่ายแต่ดูบึกบึน พร้อมโครงสร้างแชสซีส์แข็งแรง รองรับทั้งงานบรรทุกหนักและใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวัน เครื่องยนต์ดีเซลรหัส 2L และ 3L ขึ้นชื่อเรื่องความทน ทานน้ำมันได้แทบทุกชนิด และซ่อมง่ายจนช่างทั่วไปซ่อมได้ทุกอู่ ทำให้ Mighty-X กลายเป็นรถคู่ใจของเกษตรกร พ่อค้า และช่างรับเหมาไปทั่วประเทศ ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี แต่ชื่อของ “Mighty-X” ยังคงมีมนต์ขลังในหมู่คนรักกระบะคลาสสิก ด้วยความเรียบง่าย ดูแลง่าย และความแข็งแกร่งที่เป็นตำนานของ Toyota อย่างแท้จริง
- Hilux Tiger เวลา 0.45 วินาที
Hilux Tiger (ผลิตตั้งแต่ปี 1998 – 2004) ถือเป็นรุ่นเปลี่ยนผ่านสำคัญของกระบะ Toyota จากยุคดั้งเดิมเข้าสู่ความทันสมัย เปิดตัวปลายยุค 90s มาพร้อมดีไซน์โค้งมนขึ้น ดูพรีเมียมกว่าเดิม และเป็นรุ่นแรกที่มีตัวเลือกขับเคลื่อน 4 ล้อเต็มระบบในตลาดไทย จุดเด่นคือเครื่องยนต์ดีเซลรหัส 5L และ KZ-TE ที่ให้แรงบิดดีในรอบต่ำ พร้อมเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะที่ขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน Hilux Tiger ยังเป็นพื้นฐานของรุ่น Vigo ที่ตามมาในยุคต่อมา ถือเป็นรุ่นที่สร้างชื่อให้ Toyota ในกลุ่มกระบะเพื่อการใช้งานและการขับขี่จริงจังในแบบ “รถใช้งานได้ทุกวัน ขึ้นเขา ลงห้วย ได้หมด” จนกลายเป็นอีกหนึ่งตำนานที่ยังมีคนรักและตามหากันอยู่ถึงทุกวันนี้
2. HIACE (H100) จำนวน 1 คัน 2 ฉาก ในฐานะรถตู้สายแคมป์ปิ้ง เวลา 0.13 วินาที
Hiace H100 (ผลิตตั้งแต่ปี 1990 – 2004) คือหนึ่งในตำนานรถตู้ที่อยู่คู่ถนนเมืองไทยมานานกว่าสองทศวรรษ รุ่นนี้เปิดตัวในยุค 90s และกลายเป็นภาพจำของคำว่า “รถตู้บ้านเรา” อย่างแท้จริง ด้วยดีไซน์ทรงเหลี่ยมเรียบง่ายแต่แข็งแรง เน้นประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ห้องโดยสารกว้าง โล่ง ปรับแต่งได้ตามการใช้งาน ทั้งแบบโดยสารรับส่ง หรือขนของเชิงพาณิชย์ เครื่องยนต์ดีเซล 2.4 และ 2.8 ลิตรขับเคลื่อนล้อหลังขึ้นชื่อเรื่องความทน อึด ประหยัด ดูแลง่าย อะไหล่หาง่ายทั่วประเทศ ทุกวันนี้แม้ Toyota จะมีรุ่นใหม่อย่าง Hiace Commuter และ Majesty เข้ามาแทนที่ แต่ H100 ก็ยังคงเป็นขวัญใจในตลาดรถมือสอง และยังพบเห็นได้ทั่วไปบนท้องถนนในฐานะสัญลักษณ์ของความคุ้มค่าและความทนทานแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ
3. Corolla จำนวน 4 คัน :
- Corolla Altis รหัสตัวถัง E170 เวลา 0.28 วินาที รถ Taxi สีชมพู-เขียว และ 0.36 วินาที รถจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
Corolla Altis รหัสตัวถัง E170 (ผลิตตั้งแต่ปี 2014 – 2019) คือเจเนอเรชันที่ยกระดับ Altis จากซีดานยอดนิยมสู่ภาพลักษณ์ที่หรูหราขึ้นกว่าเดิม ด้วยดีไซน์ภายนอกที่เรียบหรู เส้นสายคมเข้ม และขนาดตัวถังที่ใหญ่ขึ้น มอบความกว้างขวางภายในห้องโดยสาร พร้อมวัสดุที่ให้ความรู้สึกพรีเมียมมากกว่ารุ่นก่อน เครื่องยนต์หลักยังคงเป็นเบนซิน 1.6 และ 1.8 ลิตร Dual VVT-i ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ CVT ที่ให้ความนุ่มนวล ประหยัด และทนทาน จุดนี้เองทำให้ Altis E170 กลายเป็นรุ่นยอดนิยมในกลุ่มแท็กซี่และรถราชการ เพราะมีค่าใช้จ่ายดูแลต่ำ อะไหล่หาง่าย และมีศูนย์บริการ Toyota ครอบคลุมทั่วประเทศ รุ่นนี้จึงกลายเป็น “ภาพจำ” ของ Altis บนถนนเมืองไทย ที่ทั้งขับรับผู้บริหารก็ได้ หรือจะรับผู้โดยสารทุกวันก็ยังคงความนุ่ม เงียบ และไว้ใจได้ในระยะยาว
- Corolla Altis รหัสตัวถัง E210 เวลา 0.28 วินาที รถ Taxi สีเขียว-เหลือง
Corolla Altis รหัสตัวถัง E210 (เริ่มผลิตตั้งแต่ปี 2019 – ปัจจุบัน) คือรุ่นที่ยกระดับเทคโนโลยีและคุณภาพการขับขี่ของ Altis ขึ้นอีกขั้น ด้วยแพลตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) ที่ช่วยให้การทรงตัวแน่นขึ้น และมอบความมั่นใจในการขับขี่มากกว่าทุกรุ่นที่ผ่านมา รูปลักษณ์ภายนอกปรับให้สปอร์ตทันสมัย ส่วนภายในตกแต่งด้วยโทนเรียบหรู จอสัมผัสกลางขนาดใหญ่ และอุปกรณ์ความปลอดภัย Toyota Safety Sense ที่เทียบเท่ารถยุโรประดับเดียวกัน โดยเฉพาะรุ่น Hybrid 1.8 ลิตร ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงทั้งในกลุ่มลูกค้าทั่วไป รถราชการ และรถแท็กซี่ระดับพรีเมียม เนื่องจากประหยัดน้ำมันสุด ๆ และมีระบบไฟฟ้าที่ทนทานต่อการใช้งานหนัก Altis E210 จึงกลายเป็น “ซีดานที่ครบที่สุด” ของ Toyota ทั้งด้านเทคโนโลยี สมรรถนะ ความสบาย และภาพลักษณ์ที่เหมาะสมกับทุกบทบาท ตั้งแต่รถผู้บริหาร ไปจนถึงแท็กซี่ไฮบริดที่เห็นกันทั่วไปบนถนนเมืองไทยในปัจจุบัน
- Corolla Sprinter TRUENO รหัสตัวถัง AE86 เวลา 0.45 วินาที
Corolla Sprinter Trueno รหัสตัวถัง AE86 (ผลิตระหว่างปี 1983 – 1987) คือสปอร์ตคูเป้ขนาดเล็กขับเคลื่อนล้อหลังที่กลายเป็นตำนานของยุค 80s และยังคงมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมยานยนต์จนถึงปัจจุบัน รุ่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูล Corolla/Sprinter เจเนอเรชันที่ 5 (รหัส E80) โดยชื่อ “Trueno” ใช้สำหรับเวอร์ชันไฟหน้าแบบป๊อปอัพ ขณะที่ “Levin” จะเป็นไฟหน้าแบบปกติ จุดเด่นของ AE86 คือเครื่องยนต์เบนซิน 4A-GE ขนาด 1.6 ลิตร แบบ DOHC 16 วาล์ว ที่ให้เสียงเครื่องเร้าใจและรอบจัดสุดในยุคนั้น จับคู่เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหลัง (FR) ที่ให้บาลานซ์น้ำหนักและการควบคุมเฉียบคม จนกลายเป็นรถขวัญใจของนักแข่ง Grassroots และนักดริฟต์ทั่วโลก
ในประเทศไทย AE86 มีเข้ามาจำหน่ายอย่างจำกัดและส่วนใหญ่เป็นรถนำเข้า (เกรย์มาร์เก็ต) แต่กลับได้รับความนิยมสูงในหมู่นักสะสมและแฟนคลับ “Initial D” ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของ AE86 กลายเป็นสัญลักษณ์ของความคลาสสิกและจิตวิญญาณแห่งการขับขี่ แม้จะผ่านไปกว่า 40 ปี แต่ชื่อ “Trueno” ยังคงมีมนต์ขลังในหมู่แฟน Toyota และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับรถรุ่นใหม่อย่าง GR86 และ AE86 BEV Concept ที่นำเทคโนโลยีสมัยใหม่กลับมาผสมผสานกับตำนานความสนุกในแบบขับหลังอย่างแท้จริง
4. Attezza รหัสตัวถัง XE10 เวลา 0.49 วินาที
Altezza (ผลิตระหว่างปี 1998 – 2005) คือสปอร์ตซีดานขนาดคอมแพ็กต์เครื่องยนต์วางหน้าตามยาวขับเคลื่อนล้อหลัง (FR) ที่ออกมาชนกับ BMW 3-Series และนับเป็นหนึ่งในรถที่แสดงตัวตนของ Toyota ยุคปลาย 90s ได้ชัดเจนที่สุด มีให้เลือกทั้งแบบซีดาน 4 ประตู (RS200) และแวกอน 5 ประตู (Gita) ซึ่งในเวลาต่อมาถูกพัฒนาเป็นต้นแบบของ Lexus IS สำหรับตลาดโลก จุดเด่นของ Altezza คือเครื่องยนต์รหัส 3S-GE “BEAMS” ขนาด 2.0 ลิตร DOHC 4 สูบ ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 210 แรงม้าในรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ พร้อมระบบแปรผันวาล์ว VVT-i ทำให้รอบจัด ตอบสนองฉับไว และให้ฟีลลิ่งการขับขี่ใกล้เคียงรถยุโรปในยุคนั้น อีกทั้งยังมีรุ่น AS200 ที่ใช้เครื่องยนต์ 1G-FE 2.0 ลิตร 160 แรงม้า สำหรับผู้ที่เน้นความนุ่มนวลและประหยัด
ในประเทศไทย Altezza ถูกนำเข้ามาจำหน่ายแบบเกรย์มาร์เก็ตเป็นหลัก แต่กลับได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักแต่งรถและผู้ชื่นชอบการขับขี่ เพราะโครงสร้างช่วงล่างอิสระสี่ล้อที่เซ็ตมาอย่างลงตัว ระบบพวงมาลัยคมกริบ และการบาลานซ์น้ำหนักหน้าหลังที่ยอดเยี่ยม ปัจจุบัน Toyota Altezza XE10 ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “รถขับหลังที่ขับสนุกที่สุดของ Toyota ยุคใหม่” และยังคงมีแฟนคลับเหนียวแน่นในวงการรถแต่ง JDM ทั้งในไทยและทั่วโลก
5. Innova รหัสตัวถัง AN40 เวลา 0.49 วินาที
Innova เจเนอเรชั่นแรก รหัสตัวถัง AN40 (ผลิตระหว่างปี 2005 – 2015) คือรถอเนกประสงค์ (MPV) บนพื้นฐานรถกระบะ 1 ตัน ภายใต้โครงการ IMV (Innovative International Multi-purpose Vehicle) ซึ่งใช้แพลตฟอร์มเดียวกับ Hilux Vigo และ Fortuner จุดขายของ Innova อยู่ที่ความอเนกประสงค์ ความทนทาน และความคุ้มค่าที่ตอบโจทย์ทั้งครอบครัวและผู้ประกอบการขนส่งได้อย่างลงตัว มาพร้อมดีไซน์เรียบหรูในสไตล์มินิแวน ยกสูงกว่ารถเก๋งทั่วไป ทำให้ขึ้น-ลงสะดวก ภายในห้องโดยสารรองรับผู้โดยสารได้ 7-8 ที่นั่ง พร้อมเบาะแถวที่สองแบบแยกอิสระและเบาะแถวสามพับเก็บได้หลากหลายรูปแบบ เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งเบนซิน 2.0 ลิตร และดีเซล 2.5 ลิตร D-4D ที่ขึ้นชื่อเรื่องความอึดและดูแลง่าย ขับเคลื่อนล้อหลังเช่นเดียวกับรถกระบะ IMV รุ่นอื่น
ในประเทศไทย Toyota Innova AN40 ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มรถ แท็กซี่สนามบิน รถรับ-ส่งพนักงาน และรถราชการระดับผู้บริหาร เนื่องจากให้ความสะดวกสบายกว่ารถกระบะ แต่ยังคงทนทานและค่าใช้จ่ายในการดูแลต่ำ ปัจจุบันแม้จะมีรุ่นใหม่อย่าง Innova Crysta เข้ามาแทนที่ แต่รุ่น AN40 ยังคงได้รับการยอมรับในด้านความทน ความจุ และสมรรถนะที่ใช้งานได้รอบด้านในสไตล์ “MPV เพื่อทุกคน” ของ Toyota อย่างแท้จริง
6. Supra รหัสตัวถัง A70 เวลา 0.51 วินาที
Supra รหัสตัวถัง A70 (ผลิตระหว่างปี 1986 – 1993) คือสปอร์ตคูเป้ขับหลังที่ถือเป็นตำนานอีกบทหนึ่งของ Toyota และเป็นเจเนอเรชันที่สองของซีรีส์ Supra ต่อจาก A60 รุ่นแรก A70 ถูกพัฒนามาเพื่อเน้นสมรรถนะสูง ดีไซน์ภายนอกเน้นเส้นสายคมชัด แต่ยังคงความเรียบหรูแบบยุค 80s ไฟหน้าป๊อปอัพ และบอดี้แบบ 2+2 ที่ให้ทั้งฟีลลิ่งสปอร์ตและความสามารถใช้งานได้สองที่นั่งด้านหลัง มาพร้อมเครื่องยนต์หลากหลาย ตั้งแต่ 2.0 ลิตร 1G-GZE เทอร์โบคู่ และ 2.5 ลิตร 7M-GTE ที่ถือเป็นหัวใจหลักของ Supra ในยุคนั้น ให้กำลังสูงสุดตั้งแต่ 145 – 276 แรงม้า ขึ้นอยู่กับรุ่นและตลาด และเวอร์ชันโมดิฟายบางรุ่นที่เลือกติดตั้ง 1JZ-GTE ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว เทอร์โบคู่ที่ให้กำลังสูงและแรงบิดต่อเนื่องกว่า 7M-GTE จุดเด่นของ 1JZ-GTE คือบล็อกเครื่องยนต์ที่แข็งแรงทนทาน สามารถโมดิฟายแรงม้าได้ง่าย ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระสี่ล้อช่วยให้การทรงตัวและการเข้าโค้งเฉียบคม เครื่องยนต์จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะหรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ ทำให้ A70 เป็นทั้งรถสปอร์ตสำหรับขับสนุกและรถที่สามารถใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน
ในประเทศไทย Supra A70 มีเข้ามาจำกัด ส่วนใหญ่เป็นรถนำเข้า (เกรย์มาร์เก็ต) แต่ได้รับความนิยมสูงในหมู่นักสะสมและแฟนคลับ JDM เพราะมีสมรรถนะสูง ขับสนุก และเป็นต้นแบบของ Supra รุ่นต่อ ๆ มา แม้เวลาจะผ่านไปหลายสิบปี แต่ Supra A70 ยังคงเป็นตัวแทนของสปอร์ตคูเป้ยุค 80s ที่ทั้งคลาสสิกและทรงพลังในสายตาของผู้หลงใหลรถสไตล์ญี่ปุ่น
ที่มา: Toyota
