เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2025 Ferrari เผยโฉม SC40 รถรุ่นพิเศษเพียงหนึ่งเดียวอย่างเป็นทางการ ผลงานออกแบบโดยศูนย์ออกแบบ Ferrari Styling Centre ภายใต้การดูแลของ Flavio Manzoni โดย SC40 ใช้พื้นฐานทางสถาปัตยกรรม แชสซี และงานวิศวกรรมจาก 296 GTB ที่มาพร้อมเครื่องยนต์วางกลางด้านหลังแบบเบนซิน V6 พ่วงระบบ Hybrid ซึ่งรถคันนี้เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณแห่งการปรับแต่งสุดพิเศษเฉพาะตัว ในระดับสูงสุดของ Ferrari ที่สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ชื่อ SC40 ถูกตั้งขึ้นเพื่อเป็นการรำลึกถึง Supercar ระดับตำนาน F40 ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 1987 โดยเส้นสายภายนอกของ SC40 ยังคงเอกลักษณ์อันเฉียบคมของ F40 แต่ผสมผสานเข้ากับเส้นสายตัวถังที่โค้งมนและต่อเนื่องอย่างประณีตของยุคปัจจุบัน สะท้อนภาพลักษณ์ร่วมสมัยและอัตลักษณ์ที่ชัดเจนของ Ferrari ยุคใหม่
การออกแบบภายนอกของ SC40 เน้นสัดส่วนที่ทรงพลัง ตัวรถมีสัดส่วนด้านหน้าที่ยาวและเตี้ย โดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบเรียวยาวติดตั้งในกรอบสีดำที่เชื่อมต่อกับช่องดักอากาศด้านล่างเต็มความกว้างของกันชนหน้า เสริมด้วยช่องรับลมเบรกกรอบสี่เหลี่ยมและไฟ DRL ตัดกับส่วนท้ายสั้นพร้อมสปอยเลอร์หลังแบบสูงซึ่งพ่นสีเฉพาะรุ่นที่สรรสร้างขึ้นมาเฉพาะรุ่นอย่าง SC40 White สปอยเลอร์หลังนี้เชื่อมต่อกับฝาครอบเครื่องยนต์และด้านข้างของตัวถังอย่างกลมกลืน โดยมีเส้นสีดำคั่นเพื่อเพิ่มมิติให้กับแผงท้ายสีดำแบบเปิดให้เห็นชิ้นส่วนเครื่องยนต์ด้านใน เครื่องยนต์เบนซิน V6 ถูกโชว์ผ่านช่องระบายอากาศ Lexan® แบบรมควันและปลายท่อไอเสียไทเทเนียมคาร์บอนไฟเบอร์ผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ
มุมมองด้านข้างของตัวรถโดดเด่นด้วยช่องรับอากาศแบบ NACA duct พร้อมแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ทรงสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ มาพร้อมเส้นสายเฉียบคมที่ซุ้มล้อ ประตู และฝาครอบเครื่องยนต์ ออกแบบให้ดูมีมัดกล้าม
ภายในห้องโดยสาร SC40 สะท้อนกลิ่นอายของ F40 ด้วยการใช้วัสดุคาร์บอน-เคฟลาร์ (Carbon-Kevlar) ที่ได้รับการพัฒนาใหม่สำหรับโปรเจกต์นี้บริเวณพื้นห้องโดยสาร ที่วางเท้า บริเวณด้านหลังเบาะ และพรมปูตัวถังบางส่วน รวมถึงพวงมาลัยและส่วนตกแต่งของคอนโซลกลาง วัสดุเดียวกันนี้ยังถูกใช้ในห้องเครื่องและช่องเก็บสัมภาระ การตกแต่งเบาะเลือกใช้วัสดุ Alcantara สีเทาเข้ม (Charcoal Alcantara®) ผสมกับผ้าทอเทคนิคสีแดงลวดลายพิเศษ พร้อมตราม้าลำพองและโลโก้ SC40 ที่ทอเข้ากับผ้าอย่างประณีต
สีขาว SC40 White ถูกพัฒนาขึ้นเฉพาะรุ่น โดยให้โทนเย็นที่สะท้อนเส้นโค้งของตัวรถเมื่อกระทบแสงอาทิตย์ และยังสอดคล้องกับสีของเคฟลาร์ภายใน ตัวอักษร Ferrari บนฝากระโปรงท้ายถูกแกะในเชิงลบ เผยให้เห็นพื้นผิวคาร์บอนไฟเบอร์ด้านใน ส่วนล้อดีไซน์เฉพาะรุ่นผสมผสานพื้นผิวโลหะขัดมันกับก้านสีดำที่เน้นเส้นเรขาคณิตชัดเจน
รถต้นแบบของ SC40 จะถูกจัดแสดงที่ พิพิธภัณฑ์ Ferrari เมืองมาราเนลโล ตั้งแต่วันที่ 18 ตุลาคม 2025 เป็นต้นไป เพื่อให้แฟน ๆ ได้สัมผัสเสน่ห์ของ Supercar เพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่สะท้อนความร่วมมือระหว่างลูกค้าและทีมออกแบบ Ferrari อย่างแท้จริง
ขุมพลังที่ยกมาจาก 296 GTB เครื่องยนต์เบนซิน รหัส F163 V6 สูบ (ทำมุม 120 องศา) 3.0 ลิตร 2,992 ซีซี กระบอกสูบ x ช่วงชัก : 88 x 82 มิลลิเมตร กำลังอัด 9.4 : 1 พ่วงระบบอัดอากาศ Twin-Turbocharged กำลังสูงสุด 663 แรงม้า (PS) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า กำลังสูงสุด 167 แรงม้า (PS) พ่วงด้วยแบตเตอรี่ Li-thium ion ความจุ 7.45 kWh
เมื่อเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานร่วมกัน จะมีพละกำลังสูงสุด 830 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 740 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Dual Clutch F1 DCT 8 จังหวะ ขับเคลื่อนล้อหลัง
ตัวเลขสมรรถนะเคลมจากโรงงาน
- อัตราเร่ง 0-100 km/h ภายใน 2.9 วินาที
- อัตราเร่ง 0-200 km/h ภายใน 7.3 วินาที
- ความเร็วสูงสุด Top Speed ทำได้ 330 km/h
- ความเร็วสูงสุดในโหมด EV ทำได้ 134 km/h
- ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน EV Range ทำได้ 25 กิโลเมตร
โครงการ Special Projects ของ Ferrari มีเป้าหมายในการสร้างรถยนต์เพียงหนึ่งเดียวที่ไม่ซ้ำใคร โดยลูกค้าจะเป็นผู้เสนอแนวคิดร่วมกับทีมออกแบบจาก Ferrari Styling Centre เพื่อสร้างรถตามความต้องการเฉพาะบุคคล ซึ่งกระบวนการทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 2 ปี ตั้งแต่การออกแบบรถต้นแบบ การทดสอบ และการผลิตขึ้นจริง จนได้รถ Ferrari ที่มีตราม้าลำพองที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก
ที่มา: Ferrari
