ปี 2025 ถือเป็นวาระครบรอบ 25 ปีของ Nissan X-Trail รถ SUV ยอดนิยมทั้งในญี่ปุ่นบ้านเกิด ยุโรปและสหรัฐฯ ภายใต้ชื่อ Rogue X-Trail กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักของแบรนด์ Nissan ทั่วโลก นับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายนปี 2000 X-Trail ได้รับการยอมรับในฐานะผู้บุกเบิกตลาด SUV ที่ผสมผสานระหว่างสมรรถนะการขับขี่ที่มั่นใจ ความอเนกประสงค์ และความสะดวกสบาย จนมียอดขายสะสมทั่วโลกจำนวนมากกว่า 8.1 ล้านคัน วางจำหน่ายมาแล้วกว่า 95 ประเทศ ปัจจุบันได้เดินทางมากถึงเป็นรุ่นที่ 4 ในรหัส T33 ที่กำลังจะได้มายลโฉมในเมืองไทยอีกครั้งในช่วงปลายปี 2025 นี้ ช่วงงานมหกรรมยานยนต์ Thailand International Motor Expo 2025 

ชื่อ “X-Trail” มีที่มาจากสองคำที่สะท้อนจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย “X” หมายถึงความสุดขั้วและพลังของยานยนต์ขับเคลื่อน 4 ล้อ ส่วน “Trail” หมายถึงรอยเท้าและเส้นทางบนพื้นที่ท้าทาย เมื่อนำมารวมกันจึงเป็นสัญลักษณ์ของรถที่พร้อมลุยทุกเส้นทางและพาผู้ขับเชื่อมต่อกับธรรมชาติอย่างแท้จริง


 

X-Trail 1st generation (T30) ปี 2000-2007

X-Trail รุ่นแรกรหัสตัวถัง T30 ถูกออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิด VERSATILE & AUTHENTIC มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย อายุระหว่าง 20 – 30 ปี ที่รักการใช้ชีวิตผจญภัยเผยโฉมครั้งแรกในงาน Paris Motor Show 2000 จากนั้นจึงเปิดตัวในญี่ปุ่นตามมาเมื่อ 19 ตุลาคม 2000 มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่ม โดยเฉพาะในญี่ปุ่น คู่ต่อกรที่สำคัญคือ Toyota RAV4 Honda CR-V Mitsubishi Airtrek / Outlander Mazda Tribute Ford Escape และ Subaru Forester 

ภายใต้แนวคิด “4WD สำหรับ 4 คนที่ขับสนุกและสะดวกสบาย” รุ่นนี้แตกต่างจาก SUV ทั่วไปในยุคนั้นที่มักถูกมองว่าขับยากและสิ้นเปลืองน้ำมัน เพราะ T30 เน้นความคล่องตัว ใช้งานง่าย และเหมาะกับชีวิตประจำวันทั้งบนถนนทางเรียบและทาง Off-Road ในคันเดียว พร้อมอรรถประโยชน์ใช้สอยเต็มพิกัด

ภายในห้องโดยสารออกแบบให้ใช้งานสะดวก มีพื้นที่เก็บสัมภาระกว้าง เบาะและพื้นของห้องเก็บสัมภาระด้านหลังสามารถล้างน้ำได้ เหมาะกับคนชอบเดินป่า เล่นสกี หรือขับลุยฝน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์สุดล้ำในยุคนั้นอย่าง “Pop-up Steering Wheel” ที่สามารถยกขึ้นได้ถึง 45 องศา ช่วยให้เปลี่ยนรองเท้าในรถได้ง่าย โดยเฉพาะนักสกีที่ต้องเปลี่ยนจากรองเท้าธรรมดาเป็นบู๊ตหิมะก่อนลงจากรถ

อีกหนึ่งไฮไลต์ของรุ่นแรกคือ “Hyper Roof Rail” ซึ่งรวมไฟส่องสว่างไว้ที่รางหลังคา ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยตอนกลางคืนและเสริมลุคสปอร์ตผจญภัยได้อย่างลงตัว พร้อมด้วยระบบขับเคลื่อน ALL MODE 4×4 ที่เป็นเป็นจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีอัจฉริยะจาก Nissan ที่สามารถสลับโหมดการขับระหว่างโหมด AUTO 2WD และ LOCK ได้อย่างราบรื่น เพิ่มความมั่นใจบนทุกสภาพถนน ซึ่งในโหมด LOCK นี่เอง ทำให้ X-Trail มีความสามารถในการบุกป่าฝ่าดงได้เกินหน้าเกินตาคู่แข่งกลุ่มเดียวกัน พร้อมเฟืองท้าย limited-slip differential (LSD)

ในเวอร์ชันญี่ปุ่น T30 ทำตลาดด้วย 2 ทางเลือกขุมพลัง 2 ระบบขับเคลื่อน ทั้งแบบพื้นฐานเครื่องยนต์เบนซิน QR20DE NEO 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบแปรผันวาล์ว CVTC ให้พละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 200 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 4 จังหวะ E-ATx เลือกได้ทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าหรือรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ กระจายแรงบิดอัตโนมัติตามสภาพถนน ALL MODE 4×4 

และสำหรับตัวแรงอย่างรุ่น GT ซึ่งวางเครื่องยนต์เบนซินรหัส SR20VET 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร แต่เพิ่มระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ อินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมระบบแปรผันวาล์ว NEO VVL ให้พละกำลังสูงสุดถึง 280 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 309 นิวตัน-เมตรที่ 3,200 รอบ/นาที มีเฉพาะรุ่นขับ 4 ล้อพร้อมเกียร์อัตโนมัติ E-ATx พร้อมช่วงล่างที่ปรับเซตมาเป็นพิเศษเฉพาะรุ่น

 

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย ใช้เครื่องยนต์ไม่เหมือนญี่ปุ่น กลับไปเอาเวอร์ชันอินโดนีเซียและตลาดส่งออกใหญ่ๆ ด้วยการติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินรหัส QR25DE ให้พละกำลังสูงสุด 180 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 245 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที ที่ให้สมรรถนะที่เกินหน้าเกินตาคู่แข่งในประเทศไทยตอนนั้น พร้อมทางเลือกระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ วางจำหน่ายในโฉม Minorchange ด้วย 2 รุ่นย่อย Comfort และ Luxury


 

X-Trail 2nd generation (T31) ปี 2007-2013

เมื่อรุ่นแรกได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ Nissan ตัดสินใจต่อยอดมายังรุ่นที่สองรหัสตัวถัง T31 โดย Nissan ได้ยกระดับแนวคิด “Tough Gear” ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยออกแบบให้ X-Trail เป็น SUV ที่พร้อมลุยได้เต็มรูปแบบ มาพร้อมระบบขับเคลื่อน ALL MODE 4×4-i ที่เพิ่มฟังก์ชัน Yaw Movement Control ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลจากเซนเซอร์ต่างๆ เพิ่มเติมจากรุ่นก่อนหน้า เพื่อวิเคราะห์เส้นทางรูปแบบต่างๆ และปรับแรงบิดให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ ทำให้เข้าโค้งได้อย่างมั่นคงแม้บนถนนลื่น พร้อมระบบ Hill Descent Control และ Hill Start Assist เพื่อช่วยขับขี่บนทางลาดชัน

ภายในของรุ่นนี้ยังคงรักษาความสะดวกของรุ่นก่อนหน้าไว้ครบ เช่น พื้นห้องเก็บสัมภาระด้านท้ายแบบสองชั้นที่สามารถล้างน้ำได้ เพิ่มเติมวัสดุกันน้ำภายในห้องโดยสาร เหมาะสำหรับการใช้งานสมบุกสมบันหรือกิจกรรมกลางแจ้งอย่างแท้จริง พร้อมพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายจุใจถึง 603 ลิตร และระบบความปลอดภัยล้ำในยุคนั้นอย่าง blind-spot monitor และกล้องถอยหลัง

 

ทางด้านขุมพลังในตลาดญี่ปุ่นบ้านเกิดมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 2.0 ลิตร รหัส MR20DE ให้พละกำลัง 136 แรงม้า (PS) ที่ 5,200 รอบ/นาที แต่แรงบิดสูงสุดเนี่ยสิ 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน xTronic CVT โดยในภายหลังตลาดญี่ปุ่นได้ถอดเกียร์ธรรมดาออกไปในรุ่น Minorchange แต่สำหรับตลาดบ้านเรากลับได้เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน xTronic CVT-M6 ที่สามารถล๊อคอัตราทดเปลี่ยนเกียร์เองได้ถึง 6 เกียร์

อย่างไรก็ตามขุมพลังที่ยังคงได้รับตกทอดมาจากรุ่น T30 ได้แก่ QR25DE ทีป่รับให้ปล่อยมลภาวะน้อยลง และหันมาจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน xTronic CVT-M6 เท่านั้นในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และไฮไลท์กับรุ่น GT ที่หันมาคบเครื่องยนต์ดีเซลจาก Renault รหัส M9R ความจุ 2.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ตอนแรกมีให้เลือกเพียงแค่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะเท่านั้น ก่อนที่จะเพิ่มทางเลือกเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะในรุ่น Minorchange 


 

X-Trail 3rd generation (T32) ปี 2013-2022

Nissan X-Trail เจเนอเรชันที่ 3 หรือรหัสตัวถัง T32 เปิดตัวครั้งแรกในปี 2013 โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง T31 ที่มีภาพลักษณ์แบบรถ Off-Raod เหลี่ยมสันชัด มาเป็นดีไซน์ใหม่ที่โค้งมนและล้ำสมัยยิ่งขึ้น ด้วยแนวทางการออกแบบ “V-Motion” ของNissanที่เน้นความพรีเมียมและความโฉบเฉี่ยว X-Trail รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนงานวิศวกรรมพื้นฐาน CMF-platform ร่วมกับ Renault-Nissan Alliance ซึ่งช่วยให้ตัวรถมีความสมดุลระหว่างความแข็งแกร่งและความสบายมากยิ่งขึ้น

ภายในห้องโดยสาร T32 มาพร้อมการจัดวางที่ยืดหยุ่น รองรับผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 7 ที่นั่งในบางตลาด วัสดุภายในถูกปรับให้มีความหรูหราและทันสมัยมากขึ้น พร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ระบบปรับอากาศแยกโซน, เบาะนั่งแถวสองปรับเลื่อนได้, และฝาท้ายไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูงภายใต้ชื่อ “Nissan Intelligent Mobility” เช่น ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning) และระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (AEB) ซึ่งช่วยยกระดับความปลอดภัยให้สูงขึ้นในกลุ่มเอสยูวีระดับกลาง

 

ด้านขุมพลัง X-Trail รุ่นนี้มีให้เลือกทั้งเครื่องยนต์เบนซิน ดีเซล และในบางตลาดยังมีขุมพลัง Hybrid อีกด้วย โดยรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายคือเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Xtronic CVT ที่ให้การขับขี่ราบรื่นและประหยัดน้ำมัน เจเนอเรชันนี้ถูกจำหน่ายในหลายภูมิภาคทั่วโลก ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย รวมถึงในประเทศไทยที่รู้จักกันในชื่อ Nissan X-Trail Hybrid 

T32 ยังไปวางจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือใช้ชื่อว่า “Rogue” ทำตลาดสวมรอยกับ X-Trail เวอร์ชั่นตลาดโลก โดยไม่แยกเป็น 2 ตัวถังเหมือนรุ่นก่อนหน้า รุ่นนี้ยกระดับการออกแบบให้หรูหราและเพรียวลมยิ่งขึ้น พร้อมเทคโนโลยีช่วยขับที่ก้าวหน้า เช่น Active Ride Control, Active Engine Brake, และ Cornering Stability Assist ที่เพิ่มความนุ่มนวลและเสถียรภาพในการขับขี่ รวมถึงระบบช่วยขับขั้นสูง ProPILOT และกล้องรอบคัน Intelligent Around View Monitor


 

X-Trail 4th generation (T33) ปี 2020-

ปัจจุบัน X-Trail เดินทางมาถึงรุ่นที่ 4 หับรหัสตัวถัง T33 เปิดตัวในอเมริกาเหนือในปี 2020 (ภายใต้ชื่อ Rogue) และในญี่ปุ่นตามมาในปี 2022 โดยยังคง DNA ของ “Tough Gear” จากรุ่นแรกไว้อย่างครบถ้วน แต่เพิ่มเทคโนโลยีขับเคลื่อนล้ำยุคอย่าง e-POWER และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้า e-4ORCE มอเตอร์คู่ 

ระบบ e-POWER ใช้เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบเป็นเพียงเครื่องปั่นไฟให้กับมอเตอร์ขับเคลื่อน ทำให้ได้การตอบสนองแบบรถไฟฟ้า 100% แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องระยะทาง ส่วนระบบ e-4ORCE ช่วยกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้ออย่างละเอียด เพิ่มการยึดเกาะและความสบายในทุกสภาพถนน ไม่ทิ้งเอกลักษณ์ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ทีเ่ป็นจุดแข็งของตระกูลมาโดยตลอด

X-Trail รุ่นล่าสุดยังยกระดับความหรูและพรีเมี่ยมไปอีกขั้น ติดตั้งออฟชั่นเอาใจพ่อบ้านสุนทรีย์อย่างชุดเครื่องเสียง BOSE Premium Sound System 9 ลำโพง การตกแต่งภายในห้องโดยสารที่อัพเกรดความหรูหราทั้งการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุตกแต่ง นอกจากนี้ยังเอาใจสาย Outdoor หรือ Camping ด้วยช่องจ่ายไฟ AC 100V สำหรับใช้งานกลางแจ้ง และประตูท้ายเปิดกว้างขึ้นเพื่อการขนของที่สะดวกกว่าเดิม

ในรุ่น Minorchange เพิ่มรุ่นพิเศษ AUTECH โดยวางคอนเซปต์เป็นความสปอร์ตพรีเมียม ตกแต่งภายนอกด้วยกระจังหน้าและกันชนหน้าแบบมีชุดแต่งเสริม ภายในใช้เบาะหนังสีดำปักลาย พร้อมเดินด้ายสีน้ำเงิน อีกทั้งยังมาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้ว จับคู่กับยาง Michelin PRIMACY 4 ขนาด 255/45R20

นอกจากนี้ ยังมีรุ่นใหม่ในชื่อ AUTECH SPORTS SPEC ซึ่งต่อยอดแนวทางเดียวกับ Serena และ Note Aura โดยปรับจูนระบบควบคุมคอมพิวเตอร์ สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ e-4ORCE และพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า พร้อมติดตั้ง Performance Damper บริเวณตัวถังรถด้านหลังจาก Yamaha เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน รวมถึงเซ็ตช่วงล่างให้เหมาะสมกับสมรรถนะ โดย NMC (Nissan Motorsports & Customizing )

 

 

หากใครเป็นสายลุยทาง Nissan ได้เพิ่มรุ่น X-Trail Rock Creek เป็นรุ่นพิเศษที่โดดเด่นทั้งด้านดีไซน์และฟังก์ชั่น ที่เปิดตัวตามหลัง Rogue ในตลาดอเมริกาเหนือ ตกแต่งด้วยกระจังหน้าเงาสีดำ พร้อมสีน้ำตาล Lava Red ให้ลุคสปอร์ตและโดดเด่น มีราวหลังคาท่อสีน้ำตาล Lava Red สำหรับติดอุปกรณ์เสริม เช่น สกี เต็นท์ หรืออุปกรณ์กิจกรรมกลาง รวมถึง ติดั้งล้ออัลลอยสีดำด้าน ขนาด 17 นิ้ว ตกแต่งโลโก้ Lava Red พร้อมยาง All-terrain จาก Falken Wild Peak ขนาด 235/65R17 ที่ช่วยยึดเกาะพื้นดินได้ดีขึ้น

 

ตลอดระยะเวลา 25 ปีของการเดินทาง Nissan X-Trail ได้กลายเป็นมากกว่ารถ SUV แต่มันคือสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับโลกภายนอก จุดประกายจิตวิญญาณแห่งการสำรวจ และมอบอิสระให้ผู้ขับได้ออกค้นหาเส้นทางใหม่ๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย X-Trail ยังคงสานต่อความฝันของผู้ที่รักการผจญภัย โปรดติดตามต่อไปกับการอัพเดทข้อมูลการทำตลาดในบ้านเราทาง Headlightmag.com

ที่มา: Nissan