ในยุคที่โลกยานยนต์กำลังเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้า แบรนด์ Omoda & Jaecoo ภายใต้เครือ Chery Group ได้สร้างความฮือฮาในงาน 2025 International User Summit ด้วยการเปิดตัวเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่ที่มาพร้อมประสิทธิภาพความร้อน (Thermal Efficiency) สูงสุดถึง 48% ถือเป็นตัวเลขที่แทบจะไม่มีผู้ผลิตรายใดในโลกสามารถทำได้ ซึ่งสะท้อนถึงการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ให้ตอบโจทย์ยุคแห่งความยั่งยืนและความเป็นกลางทางคาร์บอนได้อย่างแท้จริง
ถึงแม้กลุ่ม Chery จะเดินหน้าสู่การผลิตรถ BEV อย่างเต็มรูปแบบ แต่บริษัทมองว่ารถยนต์ Hybrid ยังคงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตพลังงานสะอาด เพราะช่วยลดการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อย CO₂ ได้อย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งยังคงมอบสมรรถนะและความยืดหยุ่นในการใช้งานเหมือนรถยนต์สันดาปดั้งเดิม
ด้วยประสิทธิภาพความร้อนที่สูงสุดถึง 48% ถือเป็นก้าวกระโดดจากค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่เพียง 38–45% เท่านั้น โดยทุก ๆ 1% ที่เพิ่มขึ้นของประสิทธิภาพความร้อน หมายถึงการประหยัดเชื้อเพลิงได้ประมาณ 2.5% (ตามคำกล่าวอ้างของ Chery) ซึ่งช่วยลดต้นทุนการใช้งานและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
เบื้องหลังความสำเร็จนี้ ได้แก่เทคโนโลยีการออกแบบขั้นสูงหลายด้าน เช่น อัตราส่วนกำลังอัดสูงถึง 26:1 กลไก triple-link แบบ hyperbolic ระบบ EGR (Exhaust Gas Recirculation) ที่สามารถทำงานได้ที่สัดส่วนสูงสุด 35% และการเคลือบฉนวนกันความร้อนพิเศษภายในห้องเผาไหม้ ทั้งหมดนี้จะช่วยลดการสูญเสียพลังงานจากความร้อน และเพิ่มประสิทธิภาพในรอบการเผาไหม้ได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ Omoda & Jaecoo ยังโชว์ศักยภาพของระบบ SHS (Super Hybrid System) ที่ใช้งานจริงในปัจจุบัน โดยผสานพละกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ TDGI ทำงานในวัฏจักร Miller cycle เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ตัว และเกียร์อัตโนมัติคลัทซ์คู่ DHT อัจฉริยะ ให้ประสิทธิภาพความร้อนสูงถึง 44.5% พร้อมอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพียง 6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร อีกทั้งยังมีโหมดขับขี่อัจฉริยะที่ปรับตามสภาพการใช้งานจริง
ระบบ SHS ยังมอบระยะทางขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนได้ถึง 90 กิโลเมตร พร้อมฟังก์ชัน V2L (Vehicle-to-Load) สำหรับจ่ายไฟภายนอกกำลังสูงสุด 3.3 kW เหมาะกับการใช้งานนอกสถานที่หรือสถานการณ์ฉุกเฉิน เครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้จึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปยังคงวิวัฒน์ได้อีกไกล และจะยังคงมีบทบาทสำคัญในยุคของยานยนต์พลังงานผสมต่อไป
ที่มา: Motor1
