Tesla ได้ฤกษ์ประกาศข่าวใหญ่หลายรายการภายในงานประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่ผ่านมา โดยมากกว่า 75% ของผู้ถือหุ้นลงมติอนุมัติแผนค่าตอบแทนมูลค่าหนึ่งล้านล้านดอลลาร์ ของ Elon Musk ซึ่งแบ่งออกเป็น 12 ช่วงของหุ้นตามเป้าหมายที่บริษัทต้องทำให้สำเร็จในช่วงตลอดทศวรรษหน้า ขณะเดียวกัน Musk ยังยืนยันว่า CyberCab รถแท็กซี่ไร้คนขับรุ่นใหม่ของ Tesla จะเริ่มการผลิตจริงในเดือนเมษายนปี 2026
นอกจากนี้ เขายังเผยว่า Roadster รุ่นที่สอง จะถูกทดสอบในเดือนเดียวกัน ตรงกับวันที่ 1 เมษายน หรือ “April Fools’ Day” โดยเจ้าตัวยังติดตลกว่า หากมีการเลื่อน ก็สามารถพูดได้ว่า “ผมแค่ล้อเล่น”
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานคือ Tesla Semi รถบรรทุกพลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ (Class 8) ที่เปิดตัวในฐานะรถต้นแบบครั้งแรกตั้งแต่ปี 2017 และเริ่มผลิตจำนวนจำกัดในปี 2022 กำลังจะกลับมาในฐานะรุ่นโฉมครั้งใหญ่ พร้อมเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2026
Tesla ระบุว่า Semi รุ่นใหม่นี้ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมดเพื่อยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และ ความสามารถในการบรรทุก ควบคู่กับการวางรากฐานสำหรับระบบขับขี่อัตโนมัติเต็มรูปแบบในอนาคต
ด้านรูปลักษณ์ภายนอก Semi รุ่นใหม่ถูกออกแบบให้เข้ากับเอกลักษณ์ของรถ Tesla รุ่นปัจจุบันมากขึ้น ตัวรถมาพร้อม แถบไฟหน้าแนวนอนสไตล์ Model Y รุ่นปัจจุบัน หลังคาออกแบบใหม่ช่วยลดแรงต้านอากาศ รวมถึงแผงกระจกด้านข้างสีดำที่มีขนาดเล็กลง พร้อมกันชนและซุ้มล้อที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด เพื่อเสริมภาพลักษณ์ทันสมัยและเพิ่มประสิทธิภาพทางอากาศพลศาสตร์
หัวใจสำคัญคือ ความสามารถในการประหยัดพลังงานที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน Tesla เผยว่าการใช้พลังงานลดลงเหลือเพียง 1.7 kWh ต่อระยะทาง 1 ไมล์ หรือประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นประมาณ 15% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า พร้อมระยะทางขับขี่สูงสุด 500 ไมล์ (ประมาณ 805 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ทำให้ Semi รุ่นใหม่นี้สามารถแข่งขันกับรถบรรทุกไฟฟ้าจากคู่แข่งอย่าง Daimler และ Volvo ได้อย่างสูสี อย่างไรก็ตามขุมพลังยังคงอยู่ที่ 800 kW แต่ Tesla ยืนยันว่าได้มีการปรับปรุงระบบภายใน ทั้งระบบระบายความร้อน การจัดการความร้อน และซอฟต์แวร์ควบคุม เพื่อให้รถสามารถรักษาสมรรถนะได้ต่อเนื่องแม้ยามบรรทุกเต็มพิกัด
อีกหนึ่งการอัปเกรดที่สำคัญคือระบบชาร์จเร็ว โดยรถรุ่นใหม่นี้รองรับกำลังชาร์จด้วยกำลังไฟฟ้าสูงสุด 1.2 เมกะวัตต์ (1,200 kW) ซึ่งสูงกว่าระบบ Megacharger ในปัจจุบัน และจะช่วยลดเวลาในการชาร์จสำหรับการขนส่งเชิงพาณิชย์ได้อย่างมากเมื่อใช้งานร่วมกับสถานีชาร์จที่รองรับกำลังไฟระดับเดียวกัน Tesla ยังระบุอีกว่า ได้เพิ่มความสามารถในการบรรทุก (payload) แม้จะยังไม่เปิดเผยตัวเลขอย่างเป็นทางการ
Tesla มองว่าการอัปเดตรุ่นครั้งนี้เป็นการปูทางสู่ “แพลตฟอร์มขนส่งอัตโนมัติ” ที่บริษัทตั้งเป้าจะพัฒนาในอนาคต แม้ว่า Musk และทีมจะยังไม่ยืนยันกรอบเวลาใหม่ของระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 5 (Level 5) อย่างเป็นทางการก็ตาม
ที่มา: Carscoops
