Porsche Cayenne Electric ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ภายหลังจากโดนโรคเลื่อนมาแรมปี พร้อมยกระดับยุคใหม่ของรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงจาก Porsche Cayenne ถือเป็นโมเดลที่มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ของ Porsche เพราะมันคือรุ่นที่พาแบรนด์สปอร์ตหรูเข้าสู่ตลาด SUV ตั้งแต่ปี 2002 และประสบความสำเร็จอย่างมหาศาลทั่วโลก 

 

Cayenne Electric จึงถูกวางให้เป็นหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ของแบรนด์ ที่จะผลักดัน Porsche เข้าสู่ยุคขุมพลังไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องจากสนามแข่งและรถยนต์ Formula E ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์สันดาปและ Plug-in Hybrid ยังคงถูกผลิตควบคู่กันไป เพื่อตอบโจทย์ผู้ซื้อบางกลุ่มที่ยังมีความต้องการรถสันดาปไร้ความกังวล โดยใช้งานวิศวกรรมพื้นฐาน PPE architecture

 

ในด้านงานออกแบบ Cayenne Electric ยังคงไว้ซึ่งเส้นสายและ DNA ของ Porsche แต่ถูกตีความใหม่ให้ดูทันสมัยยิ่งขึ้น ไฟหน้าแบบ Matrix LED รูปทรงเพรียวบาง เส้นหลังคา Flyline อันเป็นเอกลักษณ์ และไฟท้ายแบบ Light Strip ดีไซน์ 3D พร้อมไฟคำว่า PORSCHE แบบเรืองแสง รุ่น Turbo ยังตกแต่งด้วยชิ้นงานสี Turbonite เพื่อแยกความพรีเมียมจากรุ่นปกติอย่างชัดเจน โดดเด่นด้วยกระจกประตูแบบไร้กรอบ

 

มิติตัวรถใหม่ยาวขึ้น 55 มม. และมีระยะฐานล้อยาวขึ้นถึง 130 มม. เป็น 3,020 มม. ส่งผลให้พื้นที่ห้องโดยสารโดยเฉพาะเบาะหลังมีความโปร่ง โล่ง และนั่งสบายขึ้นกว่ารุ่นก่อน เบาะหลังสามารถปรับด้วยไฟฟ้า มีพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,588 ลิตร พร้อมช่องเก็บของด้านหน้า (Frunk) ขนาด 90 ลิตร และรองรับการลากจูงสูงสุด 3.5 ตัน

 

ภายในห้องโดยสาร Cayenne Electric ถูกพัฒนาให้หรูหราและล้ำสมัยกว่าเดิมด้วยระบบแสดงผลแบบใหม่ภายใต้แนวคิด Porsche Driver Experience ที่ติดตั้งจอกลาง OLED แบบโค้งพร้อมจอ 14.25 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า และมีตัวเลือก Head-up Display แบบ AR เป็นครั้งแรก ขนาดใหญ่ถึง 87 นิ้วพร้อมระบบ AI Assistant รุ่นใหม่ที่เข้าใจภาษาพูดได้ดียิ่งขึ้น พร้อมออฟชั่นหน้าจอความบันเทิงสำหรับผู้โดยสารตอนหน้าขนาด 14.9 นิ้ว

 

ในช่วงเริ่มต้น Porsche เปิดตัว Cayenne Electric ทั้งหมด 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่นมาตรฐาน Cayenne Electric และรุ่นสมรรถนะสูง Cayenne Turbo Electric ทั้งสองรุ่นมาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อไฟฟ้ามอเตอร์คู่ (ePTM) โดยรุ่น Turbo มีกำลังสูงสุดถึง 857 แรงม้า (PS) และ 1,156 แรงม้า (PS) ในโหมด Push-to-Pass boost และแรงบิดสูงสุด 1,500 นิวตัน-เมตร เมื่อเปิดฟังก์ชั่น Launch Control ส่วนอัตราเร่งจากความเร็ว 0-200 กม./ชม. อยู่ที่เพียง 7.4 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ 260 กม./ชม. 

ขณะที่รุ่น Cayenne Electric มีกำลังสูงสุด 408 แรงม้า (PS) และแรงบิดสูงสุด 834 นิวตัน-เมตร และทำอัตราเร่งจากความเร็ว 0-100 กม./ชม. ได้ภายในเวลา 4.8 วินาที

 

ระบบการคืนพลังงาน (Regenerative Braking) ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญ โดย Cayenne Electric สามารถเรียกคืนพลังงานกลับได้สูงสุดถึง 600 kW ถือเป็นระดับเดียวกับเทคโนโลยีของรถแข่ง Formula E โดยการเบรกในชีวิตประจำวันกว่า 97% จะทำงานผ่านมอเตอร์ไฟฟ้าโดยไม่ต้องใช้เบรกแบบกลไก ซึ่งทำให้ทั้งประหยัดพลังงานและลดการสึกหรอของผ้าเบรกได้อย่างมาก

Porsche ยังได้พัฒนาระบบช่วงล่างใหม่เพื่อรองรับสมรรถนะของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า โดยติดตั้งระบบโช้คอัพถุงลม Adaptive Air Suspension พร้อมระบบ PASM เป็นมาตรฐาน และสามารถเพิ่มออปชัน Porsche Active Ride รวมถึงระบบเลี้ยวล้อหลัง (Rear-Axle Steering) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ ทั้งในเมือง ทางเรียบ หรือการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง

 

ด้านระบบชาร์จ Cayenne Electric มาพร้อมแบตเตอรี่ขนาด 113 kWh (ใหญ่กว่า Macan Electric 13 kWh) ที่ออกแบบระบบระบายความร้อนแบบสองด้านเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด โดยสามารถชาร์จด้วยหัวชาร์จ DC สูงสุด 390-400 kW ทำให้การชาร์จจาก 10–80% ใช้เวลาไม่ถึง 16 นาที และสามารถชาร์จเพิ่มระยะทางได้ถึง 325 กม. ภายใน 10 นาที อีกหนึ่งนวัตกรรมใหม่คือระบบชาร์จไร้สาย Porsche Wireless Charging (11 kW) เพียงนำรถจอดเหนือแท่นชาร์จ ระบบจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ

ท้ายที่สุด Porsche ยืนยันว่า Cayenne Electric ไม่ได้มาเพื่อแทนที่เครื่องยนต์สันดาปทันที แต่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่เปิดทางให้ลูกค้าสามารถเลือกขุมพลังได้ตามการใช้งาน 

ที่มา Porsche