Ford ได้ปรับปรุงจุดอ่อนสำคัญของรถ SUV ขุมพลังไฟฟ้ายอดนิยม Puma Gen-E พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ที่ชาญฉลาดมากขึ้นในรุ่นปี 2026 โดยรถรุ่นใหม่นี้มาพร้อมระยะทางขับขี่ที่มากขึ้นจนเทียบเท่าคู่แข่งจากกลุ่ม Stellantis ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
Puma Gen-E เปิดตัวครั้งแรกในปี 2019 ในฐานะ SUV ขนาดเล็ก ก่อนจะมีการปรับโฉมช่วงกลางอายุในปี 2024 และตามมาด้วยรุ่นขุมพลังไฟฟ้าล้วนในช่วงปลายปีเดียวกัน สำหรับรุ่นปี 2026 นี้ แม้จะไม่ใช่การปรับโฉมใหญ่ แต่ก็มีการปรับปรุงในด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีช่วยขับเคลื่อนให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
ด้านดีไซน์ภายนอกยังคงเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางรูปแบบมากนัก Puma Gen-E ยังคงใช้ดีไซน์กระจังหน้าแบบปิดเหมือนรุ่นก่อนและแชร์ตัวถังร่วมกับรุ่น mild-hybrid ที่เพิ่งได้รับการปรับโฉมไปก่อนหน้านี้ ภายในห้องโดยสารยังคงมาพร้อมชุดหน้าจอมาตรวัดแบบ Full Digital ขนาด 12.8 นิ้ว และจอ Infotainment ขนาด 12 นิ้ว ไฮไลต์อีกจุดยังคงเป็นพื้นที่เก็บสัมภาระ Gigabox ใต้พื้นที่เก็บของด้านท้าย ทำให้รถมีความจุท้าย 574 ลิตร และเพิ่มอีก 43 ลิตรที่ช่องเก็บของด้านหน้า (frunk)
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญอยู่ที่ระยะทาง WLTP ที่เพิ่มขึ้นเป็น 400 กม. จากเดิม 376 กม. เพิ่มขึ้น 24 กม. โดยรุ่นปี 2026 สามารถทำระยะสูงสุดในเขตเมืองได้ถึง 550 กม. ซึ่งช่วยลดความถี่ในการชาร์จระหว่างการใช้งานทั่วไป การเพิ่มระยะทางนี้เกิดจากการออกแบบแบตเตอรี่ใหม่ แม้ยังคงความจุไว้ที่ 43 kWh เท่าเดิม พร้อมระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวที่ให้พละกำลังเท่าเดิมที่ 166 แรงม้า และแรงบิด 290 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบขับเคลื่อนล้อหน้า
อีกหนึ่งอัปเกรดสำคัญคือระบบ BlueCruise ซึ่งจะพร้อมให้ใช้งานตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิปี 2026 เป็นต้นไป โดยอนุญาตให้ผู้ขับขี่ปล่อยมือจากพวงมาลัยบนทางหลวงที่ได้รับรองความปลอดภัย แต่ยังต้องมีสายตาที่ Focus ถนนหนทางต่างๆ โดยระบบนี้เป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจ Driver Assistance ที่กำลังขยายไปยังรุ่นอื่นอย่าง Kuga และ Ranger PHEV ด้วย ในปัจจุบัน BlueCruise เปิดให้ใช้งานแล้วกว่า 16 ประเทศครอบคลุมระยะทางทางหลวงที่ได้รับรองกว่า 135,000 กม. สำหรับราคาจำหน่ายเริ่มต้นในสหราชอาณาจักรเท่าเดิมที่ 26,245 ปอนด์ (ประมาณ 1,117,579 บาท)
ที่มา: Carscoops
