ในปัจจุบันเครื่องยนต์ดีเซลที่เคยครองใจคนยุโรปกลับได้รับความนิยมน้อยลงเรื่อย ๆ ขณะที่ผู้บริโภคหันไปให้ความสำคัญกับขุมพลัง Plug-in hybrid (PHEV) มากยิ่งขึ้น เมื่อย้อนกลับไปช่วงปี 2010 เครื่องยนต์ดีเซลเคยทำส่วนแบ่งยอดขายได้สูงสุด 50% ของตลาดรถยนต์นั่งทั้งหมด ก่อนที่จะเกิดการโกงเรื่องมลพิษของเครื่องยนต์ดีเซลจากเครือ Volkswagen จนทำให้ทางการต้องออกมาตรการขั้นเด็ดขาด รวมไปถึงความนิยมที่ลดลงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
โดยในปี 2017 ยอดขายของรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันเบนซินได้แซงหน้ายอดขายของขุมพลังดีเซลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009 ตามข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์ยุโรป (ACEA) จนกระทั่งเข้าสู่ปี 2021 รถยนต์นั่งที่ใช้ขุมพลัง Full hybrid แบบไม่เสียบปลั๊กกลายเป็นม้ามืดจนสามารถทำยอดขายแซงหน้ารถดีเซลจนได้
จากนั้นในปี 2022 รถยนต์ขุมพลังไฟฟ้าล้วน (BEV) เริ่มเข้ามามีบทบาทของยอดขายเหนือกว่ารถดีเซลเป็นครั้งแรก และในปี 2025 ยอดขายของขุมพลังดีเซลยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจนหลุดจากอันดับท็อป 3 ของตลาดเป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่รถ PHEV ครองส่วนแบ่งตลาด 9.4% ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 นี้ และเมื่อรวมกับยอดขายของ Full hybrid จะอยู่ที่ 34.7% นำหน้ารถเบนซินที่ 26.9% และรถ BEV ที่ 18.3% อย่างชัดเจน ทิ้งท้ายด้วยยอดขายของดีเซลซึ่งเหลือเพียง 8% ของยอดจดทะเบียนรถใหม่ในยุโรป เมื่อนับจากยอดขายรถยนต์ใหม่ในกลุ่มประเทศ EU ทั้ง 27 ประเทศ รวมถึงไอซ์แลนด์ ลิกเตนสไตน์ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร
สาเหตุของการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่นี้เกิดจากหลายปัจจัย ตั้งแต่มาตรการควบคุมการปล่อยไอเสียที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องเร่งพัฒนาขุมพลัง Full hybrid PHEV และขุมพลังไฟฟ้าล้วน อีกทั้งเครื่องยนต์ดีเซลแทบจะหายไปจากกลุ่มรถขนาดเล็กยอดนิยมของยุโรป เช่น Volkswagen Polo หรือ Renault Clio ที่เคยมีรุ่นดีเซลให้เลือก
อีกหนึ่งแรงผลักคือมาตรการสนับสนุนรถ PHEV และ BEV ในหลายประเทศ รวมถึงภาษีและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่เอื้อให้รถเสียบปลั๊กมีราคาที่คุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ นอกจากนี้ เครื่องยนต์เบนซินสมัยใหม่ยังมีประสิทธิภาพดีขึ้น ลดทอนความได้เปรียบด้านอัตราสิ้นเปลืองของดีเซลลงอย่างชัดเจน
ที่มา: Motor1
